เผย 3 สาเหตุ ที่ภาพยนตร์สมัยนี้ยาวเกือบ 3 ชั่วโมง

เผย 3 สาเหตุ ที่ภาพยนตร์สมัยนี้ยาวเกือบ 3 ชั่วโมง

ไขข้อข้องใจ ทำไมภาพยนตร์ในยุคหลัง โดยเฉพาะหนังฟอร์มยักษ์ หนังซูเปอร์ฮีโร่ ถึงมักมีความยาวมากกว่า 2 ชั่วโมง

การชมภาพยนตร์ในโรงฯ ในปัจจุบันเปรียบเสมือนการแข่งอึด ที่ต้องอดทนกับความหนาวจากความเย็นของแอร์และการบีบรัดของกระเพาะปัสสาวะ เนื่องจากภาพยนตร์สมัยนี้มีความยาวเกิน 2 ชั่วโมงแทบทั้งนั้น

ไม่ว่าจะเป็น “คิง ริชาร์ด” (King Richard) ภาพยนตร์ชีวประวัติของ “ริชาร์ด วิลเลียมส์” (Richard Williams) พ่อของวีนัส และ เซเรนา วิลเลียมส์ นักเทนนิสชื่อดังของโลก มีความยาว 2 ชั่วโมง 24 นาที ฟาก “สไปเดอร์แมน: โน เวย์ โฮม” (Spider-Man: No Way Home) หนังพันล้านเรื่องเดียวในยุคนี้ มีความยาว 2 ชั่วโมง 28 นาที ส่วนภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ที่เตรียมสร้างภาคต่ออย่าง “ดูน” (Dune) มีความยาวถึง 2 ชั่วโมง 35 นาที ขณะที่ “เวสต์ ไซด์ สตอรี” (West Side Story) ภาพยนตร์เพลงเต็งรางวัล มีความยาว 2 ชั่วโมง 36 นาที

อีกหนึ่งภาพยนตร์ในจักรวาลมาร์เวลอย่าง “ฮีโร่พลังเทพเจ้า” (Eternals) มีความยาว 2 ชั่วโมง 37 นาที ด้าน “เฮาส์ ออฟ กุชชี่” นำแสดงโดย “เลดี้ กาก้า” (Lady Gaga) มีความยาวถึง 2 ชั่วโมง 38 นาที ขณะที่ “007 พยัคฆ์ร้ายฝ่าเวลามรณะ” (No Time To Die) เจมส์ บอนด์ภาคสุดท้ายของ “แดเนียล เครก” มีความยาวมากถึง 2 ชั่วโมง 43 นาที ซึ่งถ้าหากร่วมระยะเวลาโฆษณาในโรงภาพยนตร์แล้ว คงเกิน 3 ชั่วโมงอย่างแน่นอน แต่ยังไม่นานเท่าภาพยนตร์เรื่อง “แบทแมน” (Batman) เวอร์ชันล่าสุดที่จะเข้าฉายในเดือนหน้า มีความยาวถึง 2 ชั่วโมง 55 นาที

อย่างไรก็ตาม ในยุคศตวรรษที่ 20 มีภาพยนตร์ดังหลายเรื่องที่มีความยาวถึง 3-4 ชั่วโมง โดยเฉพาะตัวเต็งออสการ์ (Oscar Bait) ไม่ว่าจะเป็น “วิมานลอย” (Gone with the Wind) (2482), “เบน เฮอร์” (Ben Hur) (2502) “ลอเรนซ์แห่งอาราเบีย” (Lawrence of Arabia) (2505) “เดอะ ก็อดฟาเธอร์ ภาค 2” (The Godfather: Part II) (2517) และ "ไททานิก" (Titanic) (2540)

แดเนียล ลอเรีย (Daniel Loría) ผู้อำนวยการกองบรรณาธิการและรองประธานอาวุโสฝ่ายกลยุทธ์เนื้อหาของ “BoxOffice Pro” กล่าวว่า “ภาพยนตร์สมัยนี้ มีความยาวเพิ่มขึ้นจริง แต่ก็ไม่ใช่ทุกเรื่อง หรือทุกแนวที่จะยาวขึ้น” 

แม้ว่าในปัจจุบันภาพยนตร์จะไม่ได้มีความยาวเกือบ 4 ชั่วโมงแบบวิมานลอยหรือเบนเฮอร์ แต่ด้วยระยะเวลาเกือบ 3 ชั่วโมงก็ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ซึ่งสามารถสรุปสาเหตุที่ทำให้ภาพยนตร์มีความยาวเพิ่มขึ้นกว่าช่วงก่อนหน้านี้ได้ดังนี้

1. การสิ้นสุดลงของยุควิดีโอเทป

ในช่วงยุค 70-80 เป็นยุคที่มีวิดีโอเทป (Video Home System) หรือ วีเอชเอส (VHS) ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ผู้คนไม่ค่อยนิยมไปโรงภาพยนตร์กันมากเท่ายุคก่อน คือ ยุค 30 - 60 ที่เรียกได้ว่าเป็นยุคทองของวงการฮอลลีวู้ด ทำให้สตูดิโอภาพยนตร์ต้องผลิตภาพยนตร์ที่สั้นพอที่จะใส่ลงในวิดีโอเทปขนาดมาตรฐาน 1 ม้วนได้ ซึ่งก็คือประมาณ 2 ชั่วโมง

เมื่อสื่อความบันเทิงภายในบ้านมีวิวัฒนการจาก แผ่นวีซีดี (VCD) สู่แผ่นดีวีดี (DVD) เปลี่ยนผ่านสู่แผ่นบลูเรย์ (Blu-ray) และกลายเป็นยุคสตรีมมิงแบบในปัจจุบัน ทำให้ความยาวของภาพยนตร์ไม่ใช่ตัวแปรที่สำคัญอีกต่อไป ค่ายภาพยนตร์จึงสามารถผลิตภาพยนตร์ที่มีความยาวได้มากยิ่งขึ้น 

แรนดัล ออลสัน (Randal Olson) นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล เปิดเผยว่า โดยเฉลี่ยแล้วความยาวของภาพนยนตร์ในยุค 70-80 จะสั้นกว่ายุค 30-60 ประมาณ 10 นาที ต้องรอถึงปี 2528 ภาพยนตร์ส่วนใหญ่ถึงจะมีความยาวเฉลี่ยเท่ากับภาพยนตร์ในยุค 60 ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากคนเจนเอ็กซ์บางส่วนจะรู้สึกว่าภาพยนตร์ในยุคปัจจุบันมีความยาวกว่าภาพยนตร์ในสมัยที่พวกเขาเช่าม้วนวิดีโอมาดู

 

2. การเข้ามาของหนังซูเปอร์ฮีโร่

เอริค แอนเดอร์สัน (Erik Anderson) ผู้ก่อตั้งและหัวหน้าบรรณาธิการของ AwardsWatch เว็บไซต์รวบรวมข้อมูลรางวัลต่าง ๆ ในอุตสาหกรรมบันเทิงตะวันตก กล่าวว่า เมื่อก่อนอุตสาหกรรมภาพยนตร์เลยสมดุลมากกว่านี้ ลองย้อนกลับไปดู 10 อันดับภาพยนตร์ยอดนิยมในทศวรรษก่อน ๆ จะพบว่ามีด้วยกันหลากหลายแนว ตั้งแต่แอคชัน คอมเมดี้ ดรามา ไซไฟ แต่เดี๋ยวนี้กลับมีแต่ภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่ 

ภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่เหล่านี้กลายเป็นภาพยนตร์ที่ผู้ชมเฝ้ารอและเข้าไปรับชมในโรงภาพยนตร์เป็นหลัก และมีแนวโน้มที่จะมีความยาวมากกว่า 3 ชั่วโมง เนื่องจากมีการผูกเรื่องเข้ากับภาพยนตร์เรื่องอื่น ๆ ในจักรวาล ซึ่งอาจจะรวมไปถึงสื่ออื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นการ์ตูน หรือ ซีรีส์ ทำให้ต้องมีการเล่าเรื่องที่ยาวมากขึ้น 

แม้จะไม่ใช่ภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่แต่ “อวตาร” (Avatar) ของ ผู้กำกับ “เจมส์ คาเมรอน” (James Cameron) ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ด้วยการนำเทคโนโลยีสุดตระการตาอย่าง แว่น 3 มิติมาใช้เป็นครั้งแรก และเป็นสิ่งที่ดึงดูดให้ผู้ชมมาสัมผัสประสบการณ์แบบใหม่นี้ จนกลายเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดตลอดกาลจนถึงปัจจุบัน และทำให้สตูดิโอภาพยนตร์เรียนรู้ว่าการใช้วิชวลเอฟเฟคที่ตื่นตานี้จะช่วยเรียกผู้ชมออกมาชมภาพยนตร์ได้

ขณะเดียวกัน การทุ่มงบประมาณไปกับภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่ฟอร์มยักษ์ทำให้ ภาพยนตร์ที่ใช้งบปานกลาง อย่างภาพยนตร์สยองขวัญ 90 นาที หรือภาพยนตร์โรแมนติก 100 นาที ห่างหายไปจากจอ และย้ายไปอยู่ในบริการสตรีมมิงแทน แม้ว่าจะไม่ได้หายไปจากโรงภาพยนตร์ไปทั้งหมด แต่ก็ลดลงกว่าเดิมไปมาก

 

3. ไม่ได้มีข้อจำกัดที่ต้องทำภาพยนตร์ให้สั้นอีกต่อไป

แม้จะมีเสียงบ่นจากผู้ชมว่าภาพยนตร์ยาวไปบ้าง แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ส่งผลอะไรมาก เห็นได้จากความสำเร็จของ “อเวนเจอร์ส: เผด็จศึก” (Avengers Endgame) ที่ทำรายได้ไปกว่า 2,797 ล้านดอลลาร์ ครองอันดับ 2 ภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดตลอดกาล แม้จะมีความยาวกว่า 3 ชั่วโมง หรือภาพยนตร์ยอดฮิตเรื่องอื่น ๆ ที่มีความยาวมากกว่า 2 ชั่วโมง ก็แสดงให้เห็นว่าผู้ชมไม่ได้มีปัญหากับความยาวของภาพยนตร์ หากภาพยนตร์นั้นสนุก ดูง่าย และสามารถตรึงความสนใจของผู้ชมให้อยู่ที่หน้าจอได้

พอล เดอร์การาเบเดียน (Paul Dergarabedian) นักวิเคราะห์สื่ออาวุโสของ Comscore บริษัทวิเคราะห์ข้อมูลสัญชาติสหรัฐ กล่าวว่า ผู้ชมยินดีที่จะดูภาพยนตร์ที่มีความยาวหากภาพยนตร์เหล่านั้นได้รับคำวิจารณ์ที่ดี หรือได้รับการเสนอเข้าชิงรางวัล ขณะเดียวกันหากเป็นภาพยนตร์ที่แย่ แม้จะสั้นแค่ไม่กี่นาที ก็เป็นเวลาที่ยาวนานได้เช่นกัน

อีกทั้งในปัจจุบันโรงภาพยนตร์มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น จึงไม่จำเป็นต้องกังวลว่าในแต่ละวันจะมีรอบฉายที่น้อยลง หากภาพยนตร์นั้นมีความยาวมากเกินไป ทำให้โรงภาพยนตร์สามารถฉายภาพยนตร์ได้จำนวนรอบมากขึ้น หรือจะฉายทั้งวันทั้งคืนเลยก็ยังได้ หากผู้ชมต้องการ

หากพูดถึงในแง่ของคนทำหนัง เวลา 2 ชั่วโมงอาจจะไม่เพียงพอสำหรับการเล่าเรื่อง "โจ รูสโซ" (Joe Russo) ผู้กำกับ อเวนเจอร์ส: เผด็จศึก กล่าวในงานประชุม IGNITION ปี 2561 ว่า แม้ว่าการทำภาพยนตร์ที่มีความยาว 2 ชั่วโมง จะประสบความสำเร็จมากว่า 100 ปีแล้ว แต่ในปัจจุบันมันทำได้ยาก เพราะคนดูเดาทางได้ เวลามันสั้นเกินไป และไม่แน่ใจว่า ระยะเวลาเพียง 2 ชั่วโมงจะเพียงพอสำหรับคนรุ่นต่อจากนี้

ดังนั้น ตราบใดที่ภาพยนตร์ยังคงนำเสนอออกมาได้อย่างน่าสนใจ น่าติดตาม และดึงดูดให้ผู้ชมออกมาชมได้ ต่อให้ภาพยนตร์มีความยาวถึง 3 ชั่วโมง ผู้ชมย่อมสามารถทนหนาว อั้นปัสสาวะ ไม่ยอมพลาดความสนุกไปแม้แต่วินาทีเดียว แต่ทางที่ดี อาจจะต้องนำช่วงพักเบรกกับมาก็อาจจะดีกับสุขภาพของผู้ชมมากขึ้น

 

ที่มา: Business StandardCNN