ถอดรหัสกลุ่ม 'Blue Zone' กินอย่างไร ให้อายุขัยยืนยาว

ถอดรหัสกลุ่ม 'Blue Zone' กินอย่างไร ให้อายุขัยยืนยาว

ถอดรหัส อายุขัยยืนยาวของ กลุ่ม 'Blue Zone' หรือโซนสีฟ้า 5 เมืองจากทั่วโลก ที่มีประชากรอายุมากเกินกว่า 100 ปี ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่อายุยืนยาวเท่านั้น แต่สุขภาพกาย ความจำ และสุขภาพจิตก็ดีมากอีกด้วย

Key Point : 

  • เมื่อประเทศไทยก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัย หลายคนอยากจะมีอายุที่ยืนยาว แต่การมีชีวิตที่ยืนยาวต้องมาพร้อมกับสุขภาพที่ดี และ 'การกินอาหาร' ก็เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญ
  • ปัจจุบัน พื้นที่ที่มีคนอายุยืนกว่า 100 ปีจำนวนมาก บนโลกเรามีจำนวน 5 พื้นที่ หรือที่เรียกว่า กลุ่ม 'Blue Zone' ซึ่งมีวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ การทานอาหารที่น่าสนใจ
  • กรุงเทพธุรกิจ ชวนไขความลับ กลุ่ม 'Blue Zone' ไปพร้อมกับอาจารย์แพทย์จาก รพ.รามาฯ ทำอย่างไรให้มีอายุยืน อย่างมีคุณภาพ

 

การกิน คือ ชีวิตของเราทุกคน ซึ่งจะปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับสุขภาพของแต่ละบุคคล เราไม่ได้ต้องการแค่อายุที่ยืน แต่ต้องการคุณภาพชีวิตที่ดี โจทย์สำคัญ คือ ทำอย่างไรให้สูงวัยอายุยืนอย่างมีคุณภาพ และต้องมีสุขภาพที่ดีด้วย

 

ผศ.พญ.ดรุณีวัลย์ วโรดมวิจิตร สาขาวิชาโภชนวิทยาและชีวเคมีทางการแพทย์ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวในรายการ พบหมอรามา ผ่านช่องทาง RAMA Channel ถึง กลุ่ม 'Blue Zone' หรือโซนสีฟ้า 5 เมืองจากทั่วโลก ซึ่งหมายถึงบริเวณที่มีประชากรอายุมากเกินกว่า 100 ปีอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ไม่ใช่เพียงแค่อายุยืนยาว แต่สุขภาพกายรวมถึงความจำและสุขภาพจิตก็ดีมากอีกด้วย

 

กลุ่ม Blue Zone มีที่ไหนบ้าง

- โอกินาว่า, ญี่ปุ่น

- โลมา ลินดา, แคลิฟอร์เนีย

- ซาร์ดิเนีย, อิตาลี

- อิคาเรีย, กรีซ

- นิคอยา, ออสตาริกา

 

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง 

 

 

แล้วการใช้ชีวิตของผู้สูงวัยในกลุ่ม 'Blue Zone' มีความน่าสนใจอย่างไร ?

 

ข้อมูลจาก ดร.ฉัตรภา หัตถโกศล (DrPH, RD) อาจารย์ประจำภาควิชาโภชนวิทยา คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้เผยการศึกษาและรวบรวมข้อมูลการปฏิบัติตัวรวมถึงพฤติกรรมการบริโภคของกลุ่มผู้ที่มีอายุยืนยาว 3 เมือง ได้แก่ โอกินาวา ประเทศญี่ปุ่น ซาร์ดิเนีย ประเทศอิตาลี และ โลมา ลินดา รัฐแคลิฟอร์เนีย พบว่า

 

ชาวเกาะโอกินาวา ประเทศญี่ปุ่น

โอกินาวา เป็นเกาะเล็กๆ ทางตอนใต้ของประเทศญี่ปุ่นผู้คนส่วนใหญ่มักประกอบอาชีพประมงและเกษตรกรรม และภาพที่เราสามารถพบเห็นได้เป็นประจำบนเกาะโอกินาวา ก็คือภาพผู้สูงอายุเดินและทำงานกันอยู่เต็มเกาะ ผู้สูงอายุที่โอกินาวา แม้ว่าจะมีวัย 90 ปีขึ้นไป แต่ก็ยังสามารถประกอบกิจกรรมระหว่างวันและทำงานกันอยู่ อีกทั้ง ยังมีสุขภาพจิตที่ดี

 

ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบชาวโอกินาวากับคนที่อาศัยอยู่ในซีกโลกตะวันตก พบว่า คนโอกินาวานั้นมีอัตราการเป็นโรคหัวใจ มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก รวมถึงภาวะกระดูกผุกระดูกพรุนที่น้อยกว่า จากการเปรียบเทียบประชากรที่มีอายุ 90 ปีเท่ากันพบว่าการทำงานของสมองและร่างกายจะลดลงกว่า 50% ในประชากรส่วนใหญ่ ขณะที่ชาวโอกินาวานั้น ยังสามารถทำงานได้มากกว่า 85%

 

 

 

รูปแบบการกินของชาวโอกินาวา

  • กินอาหารในแต่ละมื้อให้รู้สึกอิ่มเพียง 80% เท่านั้น ชาวโอกินาวากล่าวว่า หากกินจนอิ่มจะทําให้เกิดการง่วง และขี้เกียจทํางาน ผลที่ตามมาก็คือจะทําาให้ทํางานได้น้อยดังนั้น ชาวโอกินาวาจึงนิยมกินเพื่อไม่ให้รู้สึกหิว ซึ่งต่างจากคนทั่วไปที่มักจะกินจนอิ่มหรือบางครั้งอิ่มมากจนเกิดอาการแน่นท้อง
  • กินอาหารที่ทําามาจากถั่วเหลืองเป็นประจํา เช่น เต้าหู้ มิโซะ ซอสถั่วเหลือง เต้าเจี้ยว ถั่วหมัก เหล่านี้คือสาเหตุที่ ทําให้ชาวโอกินาวามีอัตราการเป็นโรคมะเร็งเต้านมมะเร็งต่อมลูกหมากและภาวะกระดูกผุกระดูกพรุน น้อยกว่าคนทั่วไป
  • ดื่มน้ำเยอะ ชาวโอกินาวาดื่มน้ำมากกว่า 2 ลิตรต่อวันโดยมีความเชื่อว่า หากร่างกายขาดน้ำจะทําให้ป่วย และส่งผลให้ระบบขับถ่ายไม่ดี และหากมีอายุที่มากยิ่งขึ้นก็ต้องดื่มน้ำมากขึ้นเช่นกัน ซึ่งตรงกับความเป็นจริงที่ว่าร่างกายของมนุษย์ต้องการน้ำประมาณ 8 แก้วต่อวันหากได้รับน้ำในปริมาณที่ไม่เพียงพอ ร่างกายก็จะทํางานได้ไม่ดีและไม่สามารถกําจัดของเสียออกจากร่างกายได้
  • กินอาหารเช้าเป็นอาหารหลัก และลดปริมาณอาหารมื้ออื่นๆ โดยเฉพาะมื้อเย็น
  • กินผักทุกมื้อ ชาวโอกินาวาส่วนใหญ่มักนิยมปลูกผักไว้กินเองและเผื่อแผ่ถึงเพื่อนบ้านเสมอ จึงทําให้ได้รับผักสด สะอาด ปราศจากสารเคมีตกค้าง
  • กินปลาและอาหารทะเล เนื่องจากโอกินาวามีลักษณะทางภูมิศาสตร์ที่เป็นเกาะ อาหารทะเลจึงหาได้ง่าย และในปลาทะเลนั้นก็อุดมไปด้วยสารโอเมก้า-3 ซึ่งเป็นตัวช่วยลดอาการอักเสบที่เกิดกับอวัยวะต่างๆ ภายในร่างกาย
  • กินสาหร่ายทะเลเป็นประจํา สาหร่ายทะเลมีโปรตีนจากพืชที่ไม่มีคอเลสเตอรอล และมีสารคลอโลฟิลที่ช่วยทําหน้าที่ในการดูดซึมสารพิษที่ตกค้างอยู่ภายในร่างกายเพื่อทําการขับออก
  • กินอาหารให้หลากหลายในแต่ละวัน ในปริมาณที่พอเหมาะและไม่มากเกินความต้องการของร่างกาย

 

ชาวบาร์บาเกีย แคว้นซาร์ดิเนีย ประเทศอิตาลี

ซาร์ดิเนียเป็นเกาะขนาดใหญ่ตั้งอยู่แถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนเมื่อกล่าวถึงคําว่าเมดิเตอร์เรเนียน เราอาจนึกถึง 'อาหารเมดิเตอร์เรเนียน' ที่นิยมเสิร์ฟในภัตตาคาร จนทําให้หลายคนเกิดความสับสนว่าการรับประทานอาหารอิตาเลี่ยน หรืออาหารสไตล์เมดิเตอร์เรเนียนนั้นจะทําให้อายุยืน มีอัตราเสี่ยงต่อโรคหัวใจน้อยที่สุดในโลกดั่งชาวบาร์บาเกีย และที่แย่ไปกว่านั้น คือ คนจํานวนไม่น้อยต่างพากันเข้าใจผิดว่าอาหารกลุ่มนี้คืออาหารประเภท พิซซ่าขอบชีส ไส้กรอกอิตาเลี่ยน หรือพาสต้าครีมชีส เป็นต้น

 

แต่ถ้าหากเราลองมาดูรูปแบบอาหารเมดิเตอร์เรเนียนที่แท้จริงแล้ว รูปแบบของอาหารต่างจากที่กล่าวมาข้างต้น 

 

รูปแบบการกินของชาวบาร์บาเกีย

  • กินอาหารที่มาจากพืชเป็นหลัก โดยกินผักสดทุกวันนอกจากนี้แล้วยังนิยมผลไม้สด ธัญญาหาร ข้าวไม่ขัดสี ซึ่งเป็นแหล่งที่มาของใยอาหาร วิตามิน และเกลือแร่จากธรรมชาติที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย
  • ปรุงอาหารด้วยไขมันจากมะกอกหรือนําามันมะกอก และถั่วเปลือกแข็งชนิดต่างๆ โดยเฉพาะอัลมอนด์ มีงานวิจัยจําานวนมากออกมาระบุว่านําามันมะกอกและน้ำมันจากถั่วเปลือกแข็งนั้นมีวิตามินอีสูง และเป็นไขมันที่ไม่อิ่มตัวมีส่วนช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล
  • กินสมุนไพรและเครื่องเทศที่ปลูกขึ้นเองเป็นประจํา ซึ่งส่วนใหญ่มักนํามาใช้ในการประกอบอาหาร เพื่อเพิ่มรสชาติให้อร่อย กลมกล่อมยิ่งขึ้น
  • ดื่มไวน์พร้อมอาหารมื้อเย็น กําหนดปริมาณไม่เกิน 2 แก้วไวน์ต่อวันสําหรับผู้ชาย และไม่เกิน 1 แก้วไวน์ต่อวัน สําหรับผู้หญิง โดยจิบเพียงเล็กน้อยเพื่อให้ได้รสชาติของไวน์ ซึ่งต่างจากคนทั่วไปที่มักไม่จําากัดปริมาณในการดื่ม จากการศึกษาระบุว่าการดื่มไวน์ในปริมาณที่เหมาะสมจะส่งผลดีต่อร่างกายและลดอัตราการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้
  • เลือกรับประทานเนื้อสัตว์เพียงบางชนิด ว่าหากจะกินเนื้อสัตว์ต้องเลือกเนื้อสัตว์ที่ไม่มีขา เช่น ปลา หรือถ้าหากมีขา ก็ต้องเลือกที่จํานวนขาน้อยที่สุด เช่น สัตว์ปีก เนื่องจากชาวบาร์บาเกียมีความเชื่อว่าการกินเนื้อสัตว์จําพวกเนื้อวัว หรือเนื้อหมู จะทําให้สารพิษเข้าสู่ร่างกายและก็ตรงกับความจริงที่ว่าในเนื้อปลานั้นมีไขมันอิ่มตัวน้อยกว่าเนื้อหมู และเนื้อวัวนั่นเอง
  • กินอาหารที่มาจากธรรมชาติ และลดปริมาณอาหารที่ผ่านการแปรรูป เช่น เน้นผักผลไม้ ไม่ใช่ขนมขบเคี้ยว หรือ อาหารกระป๋อง
  • หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และเน้นสารอาหารจากการกินอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายแทน
  • กินอาหารอย่างช้าๆ และเคี้ยวอาหารให้ละเอียดนอกจากจะได้รสชาติของอาหารที่อร่อยมากยิ่งขึ้นแล้วยังช่วยไม่ให้ระบบย่อยอาหารทํางานหนักอีกด้วย
  • กินอาหารเมื่อร่างกายรู้สึกหิว ไม่ใช่เพราะเกิดความอยากหรือเมื่อมีความรู้สึกเบื่อไม่มีอะไรทํา
  • เน้นปริมาณของกินอาหารมื้อเช้าและมื้อกลางวันมากกว่ามื้อเย็น
  • ใช้เวลาในการกินอาหารแต่ละมื้ออย่างน้อย 30 นาที เพื่อให้การกินแต่ละครั้งเกิดความสุขไม่ต้องเร่งรีบ จนเกิดความเครียด
  • เลือกอาหารที่มีคุณภาพเท่านั้น โดยไม่เน้นปริมาณ

 

ชาวโลมา ลินดา รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา

เมืองโลมา ลินดา ชาวเมืองนี้มีวิถีชีวิตและความเป็นอยู่ที่ค่อนข้างจะแตกต่างจากชาวโอกินาวาและชาวบาร์บาเกีย ด้วยลักษณะทางภูมิประเทศที่ไม่ได้เป็นเกาะแล้ว ผู้คนในเมืองนี้ก็มีวิถีชีวิตแบบชาวเมืองทุกอย่าง ต้องดํารงชีวิตอยู่ท่ามกลางมลภาวะของสิ่งแวดล้อมที่ไม่ได้ดีกว่าคนทั่วไป มีการใช้เครื่องอํานวยความสะดวก เครื่องมือสื่อสาร ใช้คอมพิวเตอร์เหมือนคนในเมืองใหญ่ทุกประการ มีเพียงรูปแบบการกินอาหารและความคิดในการดํารงชีวิตที่ดูจะแตกต่างจากชาวเมืองทั่วไป และนี่คือปัจจัยที่ทําให้ชาวโลมา ลินดานั้นมีอายุยืนและมีความเสี่ยงต่อโรคภัยไข้เจ็บ น้อยกว่าคนที่อาศัยอยู่ในสังคมเมืองอื่นๆ

 

จากการศึกษาพบว่าคนที่อาศัยอยู่ในเมืองโลมา ลินดา นอกจากจะมีอายุยืนแล้ว ยังเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดรวมถึงโรคมะเร็งและโรคเบาหวานน้อยกว่าคนทั่วไปถึง 50%

 

รูปแบบการกินอาหารของชาวโลมา ลินดา

  • กินเนื้อสัตว์โดยเฉพาะเนื้อวัวและหมูน้อยมาก โดยเฉลี่ยประมาณเดือนละไม่เกิน 2 ครั้งหรือไม่กินเลย
  • กินถั่วเปลือกแข็ง เช่น วอลนัท อัลมอนด์ พีแคน พิสตาชิโอ ฯลฯ วันละประมาณ 1 กํามือ เป็นประจําทุกวัน ซึ่งตรงกับงานวิจัยและข้อมูลสนับสนุนจากสมาคมโรคหัวใจแห่งประเทศสหรัฐอเมริกาว่า ควรกินถั่ววันละ 1 กำมือเพื่อให้หัวใจดี ถั่วเปลือกแข็งเป็นแหล่งที่มาของโปรตีนจากพืช ประกอบไปด้วยไขมันไม่อิ่มตัว อีกทั้งยังมีใยอาหาร วิตามินอี ช่วยทําให้ลดความรู้สึกหิวและทําให้อิ่มได้นานขึ้น
  • หลีกเลี่ยงการปรุงแต่งเพื่อเพิ่มรสชาติของอาหาร หรือหากจําเป็นก็ปรุงเพียงแต่น้อยเท่านั้น
  • ไม่นิยมรับประทานอาหารรสเค็มและรสหวาน การกินเค็มจะก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อโรคความดันโลหิตสูง ส่วนการกินหวานมากเป็นประจำก็จะทำให้ได้พลังงานมากเกินความต้องการของร่างกาย อันเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคฟันผุและโรคอ้วนตามมา
  • ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ มีงานวิจัยจำนวนมากที่ระบุถึงอันตรายของและผลเสียที่เกิดจากแอลกอฮอล์ต่อสุขภาพโดยรวม
  • กินอาหารช้าๆ และกินอาหารร่วมกับผู้อื่น เพื่อสร้างความสุขและสัมพันธภาพที่ดีระหว่างการกินอาหาร
  • กินอาหารเช้าเป็นอาหารหลักและลดปริมาณของอาหารมื้ออื่น
  • หยุดกินทันทีเมื่อรู้สึกอิ่ม

 

ถอดบทเรียน วิถีการกิน กลุ่ม Blue Zone

 

ส่วนใหญ่การทานอาหารจากพืช ทานเนื้อสัตว์น้อย หรือทานมังสวิรัติ ?

ผศ.พญ.ดรุณีวัลย์ อธิบายโดยยกตัวอย่าง ชาวเมืองโลมา ลินดา รัฐแคลิฟอร์เนีย เป็นชุมชนหนึ่งในสหรัฐอเมริกา มีคนที่อายุยืนเกิน 100 ปีและสุขภาพดี กลุ่มคนเหล่านี้เป็นคริสเตียน และทานอาหารมังสวิรัติ เน้นอาหารจากพืช โปรตีนจากถั่ว ขณะที่ กรีซ อิตาลี ทานปลาเยอะ ส่วนเนื้อแดงทานบ้าง แต่ปริมาณไม่เยอะมาก

 

จริงหรือไม่ ที่ควรลดบริโภคผลิตภัณฑ์จากนม เพราะนมมีไขมัน และน้ำตาล แถมยังมีแลคโตสที่ทำให้บางคนแพ้ แต่ทำไมชาวซาร์ดิเนีย, อิตาลี และ อิคาเรีย, กรีซ ยังทานผลิตภัณฑ์จากนมแพะและแกะอยู่ เช่น ชีส โยเกิร์ต

การทานนมไม่ได้ทำให้อายุสั้น ขณะที่ คนกลุ่มนั้นที่ทานนมแพะ นมแกะ เพราะเป็นสัตว์ที่สามารถเลี้ยงได้ในโซนพื้นที่ และต่อให้เขากินชีส โยเกิร์ต แต่ก็มีโพรไบโอติกส์ เช่นเดียวกับญี่ปุ่นที่ทานมิโซะ เท็มเป้ ที่เพิ่มโพรไบโอติกส์ นั่นคือวิถีชีวิต ที่ทำให้เขาอายุยืน

 

ควรกินไข่ให้น้อยลง จริงหรือไม่

ผศ.พญ.ดรุณีวัลย์ อธิบายว่า ทานไข่ไม่ได้ทำให้ตายเร็ว แต่หากมองที่ชาวโลมา ลินดา เขาคือ Vegetarian ดังนั้น เหตุผลของการมีอายุยืนยาว มีสุขภาพที่ดี ไม่ใช่มีแค่เหตุผลเดียว แต่ต้องมี 3 อ. ได้แก่ อ. อาหาร อ.อารมณ์ และ อ.ออกกำลังกาย ความจริงกลุ่มนี้เดินเยอะ เพราะสภาพพื้นที่ทำให้เขาได้ใช้ชีวิตในการเดิน

 

"ขณะที่ การทานไข่เยอะ ส่งผลดีหรือผลเสียต่อสุขภาพนั้น ไข่เป็นแหล่งโปรตีน ในไข่มีคอเลสเตอรอลโดยเฉพาะไข่แดง บางคนถามว่ากินแต่ไข่ขาวได้หรือไม่ ก็ไม่ผิดเพราะจะเอาแค่โปรตีน อย่างไรก็ตาม ไข่แดงนอกจากมีคอเลสเตอรอล คุณสมบัติที่ดีที่สุดของไข่แดง คือ มีวิตามิน เกลือแร่ แร่ธาตุ ทุกอย่างอยู่ในไข่แดง ดังนั้น ไข่แดงก็ดี แต่หากคอเลสเตอรอลที่มากเกินไป ก็อาจจะส่งผลเสียต่อบางคน ไม่ใช่ทุกคน เพราะการตอบสนองต่ออาหารของแต่ละคนไม่เหมือนกัน"

 

กินถั่วทุกวัน เพราะถั่วเป็นสุดยอดอาหารของชาว Blue Zone ?

ถั่วมีหลายอย่าง ซึ่งให้โปรตีน มีไฟเบอร์เยอะ ในถั่วมีน้ำมันแต่เป็นน้ำมันที่ดี มีวิตามินอี แร่ธาตุ ดังนั้น จึงดูจะเป็นของที่ดีที่มาแทนขนม สามารถกินได้ อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่จะทานใส่ฝ่ามือ 1-2 ครั้ง ไม่ได้กินเยอะหมดเป็นกระป๋อง ที่สำคัญ อย่าใส่เกลือเยอะ ขณะที่ถั่วเหลือง ซึ่งประเทศจีนและญี่ปุ่นทานค่อนข้างเยอะ มีการติดตามผลการทานในระยะเวลานาน 5-10 ปี พบว่า แนวโน้มลดความเสี่ยงมะเร็งเต้านม แต่ไม่แนะนำให้ทานแบบสารสกัด

 

ทาน น้ำตาลน้อย อายุยืน ?

กลุ่ม Blue Zone เป็นกลุ่มที่ทานอาหารปรุงแต่งน้อย และได้ความหวานจากการทานผัก ผลไม้ ค่าเฉลี่ยที่คนกลุ่มนี้ทาน คือ ราว 7 ช้อนชา หรือ 28 กรัมต่อวัน หากทานมากกว่านี้ต้องดูว่าได้นำไปใช้หรือไม่ หากไม่นำไปใช้ก็จะเกิดการสะสม น้ำตาล คาร์โบไฮเดรต และไขมันเป็นสิ่งที่ร่างกายไม่ทิ้ง ร่างกายเก็บทั้งหมด แต่ส่วนที่ทิ้ง คือ โปรตีน

 

กลุ่ม Blue Zone มักจะดื่มน้ำเปล่าเป็นหลัก ?

กลุ่ม Blue Zone ซึ่งเป็นพื้นที่เกาะ ชุมชน แยกตัวจากพื้นที่อื่น เพราะฉะนั้น คนที่อายุเยอะไม่ชินที่จะทานน้ำหวาน อาจจะทานเป็นชามากกว่า เช่น ประเทศญี่ปุ่น รวมถึง อิตาลี กรีซ จะมีชาสมุนไพรดีต่อสุขภาพ ผู้สูงอายุส่วนใหญ่จะติดดื่มชามากกว่าน้ำอัดลม หากมองในชีวิตเขาจะเห็นว่าเขาทานน้ำตาลน้อย และทานชาแทน ซึ่งจะดีต่อสุขภาพเพราะมีสารต้านอนุมูลอิสระ

 

ดื่มไวน์ อายุยืน จริงหรือ ตกลงแอลกอฮอล์ ดีหรือไม่ ?

ชุมชนเหล่านี้ส่วนใหญ่จะดื่มแอลกอฮอล์ ญี่ปุ่นจะดื่มสาเก หากเป็นอิตาลี หรือ กรีซ จะดื่มไวน์ ยกเว้นกลุ่ม โลมา ลินดา ที่เป็นคริสเตียน ทั้งนี้ ไวน์ มีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยในเรื่องของโรคหัวใจ แต่เขาดื่มในปริมาณน้อย ขวดหนึ่ง แบ่งทาน 5 คน หรือ วันหนึ่งไม่เกิน 5 ออนซ์ ประมาณ 150 ซีซี

 

ทั้งหมดนี้ เป็นบางส่วนของวิถีชีวิตกลุ่ม Blue Zone ซึ่งด้วยการใช้ชีวิต อาหาร และสภาพแวดล้อม ช่วยให้คนเหล่านี้มีอายุยืนยาว อย่างไรก็ตาม เราสามารถนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวัน เพื่อให้สุขภาพดี อย่างยั่งยืน และมีอายุขัยที่ยืนยาวได้ในบริบทของเรา

 

 

อ้างอิง : คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี