โรงเรียนติว กำลังใกล้ตาย

โรงเรียนติว กำลังใกล้ตาย

อย่าเพิ่งตกอกตกใจไปครับ ผมพูดถึงโรงเรียนติวในประเทศจีน ที่บอกว่าใกล้ตาย ไม่ใช่เพราะไม่มีคนเรียน

ที่บอกว่าใกล้ตาย ไม่ใช่ เพราะไม่มีคนเรียน แต่เพราะไปเรียนกันอย่างล้นหลามต่างหาก 

พูดอย่างนี้ คุณคงแปลกใจ เพราะถ้าแย่งกันไปเรียนขนาดนั้น โรงเรียนติว จะเจ๊งได้อย่างไร คำตอบก็คือ เพราะไม่เป็นที่สบอารมณ์ ของรัฐบาลครับ 

ระยะหลังๆนี้ รัฐบาลจีนมีอาการหงุดหงิด และออกมากวาดล้างธุรกิจบางประเภท เช่นเมื่อเดือน ตุลาคม 2563 คนดังอย่าง แจ็ค หม่า ต้องหายหน้าหายตาไปหลายเดือน เพราะไปพูดจาท้าทายรัฐบาล

หลังจากนั้น รัฐบาลก็ออกมาแทรกแซงธุรกิจฟินเทค จนบริษัทของเขาชื่อ Ant Financial ที่กำลังจะทำ IPO เพื่อเข้าตลาดหุ้น ต้องสะดุดลงทันที  

ตามด้วยการเล่นงานบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ ในเรื่อง อำนาจผูกขาด จนราคาหุ้นของบริษัทดังๆ อย่าง Alibaba, Tencent และ Baidu ร่วงลงเป็นแถว

กลางเดือนตุลาคม 2563 หุ้น Alibaba ราคาขึ้นไปถึง302 ดอลลาร์แต่หลังจากนั้นก็ร่วงลงต่อเนื่อง สัปดาห์นี้ราคาหุ้นเหลือเพียง 200ดอลลาร์ เท่านั้น แจ็ค หม่า รวยน้อยลงไปเยอะเลยครับ

แจ็ค เป็นคนที่พูดในที่สาธารณะบ่อย พูดเก่งและภาษาอังกฤษเป็นเลิศ แต่เขาเงียบหายไปหลายเดือน จนมีข่าวลือว่า เขาถูกรัฐบาลอุ้มไปหรือเปล่า แต่เขาก็ปรากฎตัวอีกครั้ง เมื่อเดือนมกราคมนี้

คลิปที่ออกมา แจ็ค หม่า ไปพูดที่โรงเรียนแห่งหนึ่งในชนบท ไม่เห็นหน้าคนฟัง เขาพูดสั้นมากเพียง 50 วินาที ไม่มีเนื้อหาสาระอะไรมากมาย คนดูคลิปวิจารณ์กันว่า รัฐบาลคงตั้งใจทำคลิปนี้เผยแพร่ เพื่อให้เห็นว่าเขายังมีชีวิตอยู่ และเพื่อส่งสารให้สังคมทราบว่า ประเทศนี้ “ใครใหญ่”

หลังจากไล่บี้กลุ่มเทคโนโลยีแล้ว รัฐบาลจีนก็มาถึงคิว “โรงเรียนติว”

ธุรกิจติวเตอร์ในจีน มีขนาดใหญ่โตเหลือเชื่อ เพราะพ่อแม่ต่างก็ทุ่มเทกันสุดๆ ให้ลูกไปเรียนพิเศษเพื่อสอบเข้าโรงเรียนดีๆ และมหาวิทยาลัยดังๆ จะได้มีชีวิตที่ดีขึ้น การเข้าโรงเรียนติวเพื่อทำคะแนนสอบให้สูงๆ เป็นมหกรรมชีวิต ของพ่อ แม่ ลูกที่นั่น มานานแล้ว

พ่อแม่ ที่คอยประคบประหงมลูกตลอดเวลา ฝรั่งใช้คำว่า “Helicopter Parenting” ส่วนคนจีนใช้คำว่า “Chicken Parenting” ที่ต้องทำก็เพื่ออนาคตของลูก ลูกก็เลยถูกเรียกว่าเป็น Chicken Baby หรือ “เจ้าลูกไก่น้อย”

บริษัทติวเตอร์รายใหญ่ของจีน จึงมีปริมาณธุรกิจสูงมาก เพราะพ่อไก่ แม่ไก่ ต่างพาลูกไก่ ไปลงทะเบียนเรียนที่โรงเรียนติว ตั้งแต่ยังเป็นลูกเจี๊ยบ จนโตเป็นลูกไก่ใหญ่ ก็ยังเหน็ดเหนื่อย หาเงินเพื่อส่งลูกไก่ไปโรงเรียนติว 

กองทุนต่างประเทศ จึงมาลงทุนในธุรกิจนี้เป็นเงินมหาศาล บริษัทติวชั้นนำเติบโตมาก ถึงขั้น จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ค

แต่อยู่ดีๆ ปลายเดือนที่แล้ว ราคาหุ้น ของติวเตอร์ดังอย่าง TAL Education  และNew Oriental Education ก็ร่วงลงวันเดียว 70% และ 54% ตามลำดับ และยังไม่ฟื้นจนถึงวันนี้

เหตุเพราะธุรกิจนี้ มีส่วนขัดขวางนโยบายของรัฐบาล

เรื่องของเรื่องก็คือ ท่านผู้นำ สี จิ้นผิง ได้ปรารภเมื่อเดือนพฤษภาคมนี้ว่า เยาวชนจีนเรียนหนักเกินไป เด็กๆและเยาวชน ไม่มีเวลาพักผ่อนเพียงพอ เด็กก็เครียด พ่อแม่ก็เครียด และเพิ่มภาระการเงินอีกด้วย อย่างนี้ถือว่าเป็น “อาการป่วยของสังคม”

เท่านั้นแหละครับ เมื่อเดือนที่แล้ว ทางการก็เลยออกมาตรการกับโรงเรียนติว โดยเริ่มตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป ธุรกิจติวจะต้องจดทะเบียนเป็นธุรกิจที่ “ไม่หวังผลกำไร (Non-Profit)” ห้ามสอนวันหยุด ห้ามเพิ่มทุน ห้ามขายหุ้นให้สาธารณชน 

แค่นี้ก็จบเห่แล้วครับ สำหรับนักลงทุน และอนาคตของบริษัทยักษ์ใหญ่ในธุรกิจนี้  

 แต่ทำไมรัฐบาลจึงทำเช่นนี้ คำตอบก็คือ ภาวะกดดันทางการศึกษา ทำให้นโยบายของรัฐบาล ที่พยายามส่งเสริมให้คนจีน “มีลูก 3 คน” ไม่บรรลุผล เพราะมีลูกแค่ 1 คน ยังเครียดและเหน็ดเหนื่อย แสนสาหัสขนาดนี้ แล้วใครจะอยากมีลูกเพิ่มเล่าครับ?

เรื่องนี้จะมีพนักงานที่เกี่ยวข้อง ตกงานอีกมากมาย และต้องติดตามว่า โรงเรียนติวจะหาทางออกอย่างไร รัฐบาลจะลดความเครียดของคนจีน และความเสมอภาคทางการศึกษาได้แค่ไหน ซึ่งก็มีผู้วิจารณ์กันว่า อาจจะไม่ได้ผล

เพราะถ้าบริษัทติวเตอร์ค่อยๆหายไป คนรวยก็ยังจ้างติวเตอร์มาสอนลูก เป็นส่วนตัวได้อยู่ดี ทำให้ได้เปรียบคนชั้นกลางมากยิ่งขึ้น

อีกคำถามหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ หลังจากนี้รัฐบาลจีน มีแนวโน้มจะจัดการกับธุรกิจอะไรหรือไม่

ถ้าดูจากเหตุการณ์ครั้งนี้ คงต้องอนุมานว่า ธุรกิจอะไรก็ตาม ที่เป็นอุปสรรคให้คนจีน ไม่กล้ามีลูกเพิ่ม น่าจะเป็นเป้าหมายครับ 

หนึ่งในนั้น ที่อาจเป็นไปได้ ก็คือ ธุรกิจที่อยู่อาศัย เพราะราคาที่อยู่อาศัยมันแพง และพื้นที่ก็คับแคบมาก ทำให้คนจีนไม่อยากมีลูก เพราะถ้ามีลูกเพิ่มมาอีกคน ก็ไม่รู้จะอยู่กันอย่างไร

ใครที่ทำธุรกิจนี้ในจีน หรือถือหุ้นธุรกิจประเภทนี้ในจีน ก็ติดตามใกล้ชิดหน่อยแล้วกัน เดี๋ยวจะหาว่าหล่อไม่เตือน

เมืองไทยเรา ก็มีปัญหาเด็กเกิดน้อยลงเหมือนกัน ซึ่งสาเหตุอย่างหนึ่งก็คือความเครียด และปีกว่าๆที่ผ่านมานี้ น่าเชื่อได้ว่าความเครียดคงเพิ่มมากยิ่งขึ้น เพราะผลกระทบจากโควิดแรงมาก

น่าสนใจนะครับ ที่จะศึกษาว่าผลจากโควิดและเศรษฐกิจใน ปี 2563 และ 2564 จะทำให้อัตราการเกิดของคนไทย ลดลงไปอย่างมีนัยสำคัญหรือไม่ หรือว่าไม่มีผลกระทบอะไรเลย

ส่วนโรงเรียนติวของไทย คงไม่น่ากังวลว่ารัฐบาลจะทำอะไรให้เดือดร้อน เพราะเกือบทุกธุรกิจในไทย แค่เจอโควิดยาวนานแบบนี้

 ก็เดือดร้อนมากเหลือเกินแล้วครับ