ปีแห่งการเดิมพัน '11 บทเรียน' การลงทุนสุดโต่งปี 68 ที่โลกต้องจดจำ

ปีแห่งการเดิมพันกับ 11 บทเรียนการลงทุนสุดโต่งปี 2568 ที่โลกต้องจดจำ เมื่อความโลภปะทะฟองสบู่สู่การทำกำไรพุ่ง 367% และทฤษฎีแมลงสาบสัญญาณเตือนนักลงทุนปี 2569
ปี 2568 ที่กำลังจะสิ้นสุดลงถือเป็นปีแห่งการ “เดิมพัน” ที่มีความเสี่ยงสูงและความผันผวนรุนแรงในตลาดการเงินทั่วโลก ตั้งแต่การพุ่งทำสถิติของราคาทองคำไปจนถึงความปั่นป่วนในตลาดพันธบัตรและหุ้นกู้ โดยนักลงทุนส่วนใหญ่ทุ่มเงินไปกับความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและกลยุทธ์ที่ใช้เงินกู้จำนวนมาก โดยเฉพาะการกลับมาของ “โดนัลด์ ทรัมป์” ที่สร้างแรงกระเพื่อมอย่างหนักต่อหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมในยุโรปและการเก็งกำไรในสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งมีทั้งผู้ที่ได้รับผลตอบแทนมหาศาลและผู้ที่ล้มเหลว
เมื่อเข้าสู่ช่วงปลายปี 2568 บทเรียนจากการลงทุนเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงจุดอ่อนเดิมๆ ที่นักลงทุนต้องระวังในปี 2569 บลูมเบิร์กชี้ให้เห็น 11 การลงทุนที่กำหนดนิยามของยุคสมัยนี้ เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนที่นักลงทุนต้องเตรียมรับมือต่อไป
เมื่อ ‘การเมือง’ ขับเคลื่อน ‘คริปโท’ ก็ไม่อาจหยุดยั้งกลไกตลาด
หนึ่งในกลยุทธ์การลงทุนที่ร้อนแรงที่สุดในวงการ “คริปโทเคอร์เรนซี” ปีนี้ คือการกวาดซื้อทุกสินทรัพย์ที่เชื่อมโยงกับชื่อของ “โดนัลด์ ทรัมป์” โดยนับตั้งแต่ช่วงหาเสียงจนถึงการเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี ทรัมป์ได้แสดงจุดยืนสนับสนุนสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างเต็มตัว ทั้งการผลักดันกฎหมายปฏิรูปครั้งใหญ่และการแต่งตั้งบุคคลจากอุตสาหกรรมคริปโทเข้าสู่ตำแหน่งสำคัญในรัฐบาล
ขณะที่สมาชิกในครอบครัวของเขาต่างพากันเปิดตัวเหรียญและโปรเจกต์ใหม่ๆ ซึ่งนักลงทุนมองว่าสิ่งเหล่านี้คือ "เชื้อเพลิงทางการเมือง" ที่จะขับเคลื่อนมูลค่าสินทรัพย์ให้พุ่งสูงขึ้น ทั้งการเปิดตัว "มีมคอยน์" (Memecoin), เหรียญ WLFI ภายใต้โครงการ World Liberty Financial ให้รายย่อยเข้าซื้อขายได้ ขณะที่ เอริค ทรัมป์ ได้ร่วมก่อตั้ง American Bitcoin บริษัทขุดเหรียญดิจิทัลที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ผ่านการควบรวมกิจการ (Merger) เมื่อเดือนก.ย.ที่ผ่านมา
แม้การเปิดตัวแต่ละครั้งจะทำให้ราคาพุ่งทะยานในช่วงแรก แต่ความสำเร็จกลับเกิดขึ้นเพียงชั่วคราว ข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 23 ธ.ค. พบว่าเหรียญมีมของทรัมป์มีมูลค่าดิ่งลงกว่า 80% จากจุดสูงสุดในเดือนม.ค. ขณะที่เหรียญของเมลาเนียทรุดหนักเกือบ 99% และหุ้นของ American Bitcoin ก็ร่วงลงราว 80% จากจุดสูงสุดเช่นกัน
แม้แต่บิตคอยน์ซึ่งเป็นพี่ใหญ่ของตลาดก็ยังมีแนวโน้มจะปิดฉากปีด้วยการขาดทุน หลังจากราคาปรับตัวลดลงจากจุดสูงสุดในเดือนต.ค.
เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่า แม้ปัจจัยทางการเมืองจะเป็นแรงผลักดันให้เกิดการเก็งกำไรมหาศาล แต่สุดท้ายก็ไม่อาจฝืนกฎเกณฑ์ของตลาดคริปโทเคอร์เรนซีได้ เมื่อราคาพุ่งสูงเกินจริงจากการใช้เลเวอเรจ และสภาพคล่องเริ่มเหือดหาย ราคาก็ย่อมดิ่งลงตามระเบียบ สำหรับสินทรัพย์ที่ผูกติดกับแบรนด์ทรัมป์ การเมืองอาจช่วยสร้าง "กระแส" ได้ในระยะสั้น แต่ไม่ได้เป็น "เกราะคุ้มกัน" ความเสี่ยงจากการเก็งกำไรให้กับนักลงทุนแต่อย่างใด
สัญญาณเตือนจาก The Big Short ฟองสบู่ AI กำลังจะแตกจริงหรือ?
ไมเคิล เบอร์รี (Michael Burry) นักลงทุนผู้โด่งดังจากการพยากรณ์วิกฤติซับไพรม์ในภาพยนตร์ The Big Short กำลังสร้างความสั่นสะเทือนให้กับตลาดอีกครั้ง หลังมีการเปิดเผยข้อมูลว่ากองทุน Scion Asset Management ของเขาได้เข้าถือ Put Options เพื่อเก็งกำไรในทางลบต่อหุ้นยักษ์ใหญ่อย่าง Nvidia และ Palantir ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของกระแส AI ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา
ความน่าตกใจอยู่ที่ "ราคาใช้สิทธิ์" ซึ่งตั้งไว้ต่ำกว่าราคาตลาดในขณะนั้นอย่างมหาศาล Nvidia ต่ำกว่า 47% และ Palantir ต่ำกว่าถึง 76% สะท้อนให้เห็นว่าเบอร์รีมองเห็นโอกาสที่หุ้นกลุ่มนี้จะร่วงลงอย่างรุนแรง
ล่าสุด ดูเหมือนว่าการคาดการณ์ของเขาจะเริ่มเป็นจริง เมื่อหุ้น Nvidia และ Palantir รวมถึงดัชนี Nasdaq ต่างปรับตัวลดลงอย่างหนัก เบอร์รีเคยโพสต์คำใบ้ผ่านแพลตฟอร์ม X ว่าเขาซื้อ Put Option ของ Palantir มาในราคาเพียง 1.84 ดอลลาร์ ซึ่งราคาได้พุ่งสูงขึ้นถึง 101% ภายในเวลาไม่ถึง 3 สัปดาห์
เรื่องนี้ตอกย้ำให้เห็นว่า แม้จะเป็นอุตสาหกรรมที่ทรงพลังที่สุดในปัจจุบัน แต่หากความเชื่อมั่นของนักลงทุนเริ่มสั่นคลอน ตลาดที่พึ่งพาหุ้นเพียงไม่กี่ตัวก็พร้อมจะพลิกผันได้อย่างรวดเร็ว
เมื่อ ‘อาวุธ’ กลายเป็นสินค้ายอดฮิต
ปัจจุบันอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ (Defense Sector) ในยุโรปกำลังเผชิญกับ "การเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์ครั้งใหญ่" จากเดิมที่ผู้จัดการกองทุนส่วนใหญ่มักหลีกเลี่ยงการลงทุนเพราะกังวลเรื่องหลักเกณฑ์ ESG คือ สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาลแต่ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะความกังวลว่าสหรัฐภายใต้รัฐบาลทรัมป์อาจลดงบประมาณสนับสนุนยูเครน ได้กลายเป็นแรงผลักดันให้รัฐบาลยุโรปต้องเร่งเพิ่มงบประมาณกองทัพของตนเอง
เรื่องนี้ ส่งผลให้หุ้นกลุ่มนี้พุ่งทะยานอย่างรุนแรง เช่น Rheinmetall ของเยอรมนีที่พุ่งขึ้นถึง 150% และ Leonardo ของอิตาลีที่เพิ่มขึ้นกว่า 90% ในปีที่ผ่านมา และเม็ดเงินไหลเข้าสู่กลุ่มอุตสาหกรรมป้องกันประเทศอย่างมหาศาล จนเกิดการเปลี่ยนแปลงในระดับโครงสร้างการเงิน 3 ส่วนสำคัญ
- การปรับเงื่อนไขกองทุน
ผู้จัดการกองทุนหลายแห่ง เช่น Sycomore Asset Management เริ่มปลดล็อกข้อห้าม และยอมรับว่าการลงทุนในเทคโนโลยีป้องกันประเทศคือความรับผิดชอบ ในการปกป้องคุณค่าและเสถียรภาพของภูมิภาค
- ตลาดสินเชื่อเฟื่องฟู
มีการออก "พันธบัตรป้องกันประเทศยุโรป" (European Defense Bonds) ซึ่งมีลักษณะคล้ายพันธบัตรสีเขียว (Green Bonds) แต่เน้นระดมทุนเพื่อความมั่นคง แทนที่จะถูกมองว่าเป็นภาระทางชื่อเสียงเหมือนในอดีต
- ห่วงโซ่อุปทานเติบโต
ไม่ใช่แค่ผู้ผลิตอาวุธโดยตรงเท่านั้นที่เติบโต แต่บริษัทในห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่ผู้ผลิตเลนส์ไปจนถึงเคมีภัณฑ์ ต่างได้รับอานิสงส์จนราคาหุ้นพุ่งสูงขึ้นตามดัชนีกลุ่มป้องกันประเทศของ Bloomberg ที่บวกไปกว่า 70%
เรื่องนี้สะท้อนว่า เมื่อระเบียบโลกเปลี่ยนไป อุดมการณ์ในการลงทุนก็ถูกปรับเปลี่ยนตาม ความมั่นคงของชาติได้กลายเป็นลำดับความสำคัญสูงสุดที่ดึงดูดเม็ดเงินลงทุนให้ไหลกลับเข้าสู่อุตสาหกรรมนี้อย่างรวดเร็วและรุนแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
Debasement Trade เดิมพันเมื่อเงินกระดาษเสื่อมค่า
ในปี 2568 กระแสการเก็งกำไรจากการเสื่อมค่าของเงิน (Debasement Trade) กลายเป็นหัวข้อร้อนแรงในแวดวงการเงิน เมื่อนักลงทุนเริ่มไม่มั่นใจในสกุลเงินหลักอย่างดอลลาร์ ยูโร หรือเยน เนื่องจากปัญหาหนี้สาธารณะที่พุ่งสูงและภาวะอัมพาตทางการเมืองในการแก้ปัญหา
ปรากฏการณ์นี้ทำให้นักลงทุนหันไปพึ่งพา "ทองคำ" และ "คริปโตเคอร์เรนซี" เพื่อปกป้องความมั่งคั่ง
จุดเปลี่ยนสำคัญในเดือนต.ค. เมื่อความวิตกถึงขีดสุดหสหรัฐลังจากที่สหรัฐ เผชิญกับการปิดหน่วยงานรัฐยาวนานเป็นประวัติการณ์ ส่งผลให้ทั้ง ทองคำและบิตคอยน์พุ่งทะยานทำจุดสูงสุดใหม่พร้อมกัน ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ยาก เนื่องจากนักลงทุนมองหา "สินทรัพย์ปลอดภัย" อื่นที่ไม่ใช่ดอลลาร์
แม้ความเชื่อเรื่องเงินเสื่อมค่าจะดูมีน้ำหนัก แต่สถานการณ์จริงในตลาดกลับมีความย้อนแย้ง เพราะพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ยังคงแข็งแกร่งและทำผลงานได้ดีที่สุดนับตั้งแต่ปี 2563 สะท้อนว่าดอลลาร์ยังคงเป็นที่ต้องการในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยเมื่อเศรษฐกิจชะลอตัว
แม้บิตคอยน์จะพุ่งในช่วงแรก แต่ภาพรวมของสกุลเงินดิจิทัลอื่นๆ กลับมีการร่วงลงแรงตามมา รวมทั้งราคาสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ เช่น ทองแดงและอลูมิเนียม ไม่ได้พุ่งเพราะเงินเสื่อมค่าเพียงอย่างเดียว แต่ได้รับผลกระทบจากนโยบายภาษีของโดนัลด์ ทรัมป์ และปัญหาด้านอุปทาน
Kospi 5000 หุ้นเกาหลีใต้พุ่ง แต่คนในประเทศกลับเทขาย
ปีนี้ "ตลาดหุ้นเกาหลีใต้" กลายเป็นดาวเด่นที่ร้อนแรงที่สุดในโลก โดยดัชนีหลักพุ่งขึ้นกว่า 70% ภายใต้แคมเปญกระตุ้นเศรษฐกิจ “Kospi 5000” ของประธานาธิบดี อี แจมยอง ซึ่งตั้งเป้าผลักดันดัชนีให้แตะระดับ 5,000 จุด
แม้ในช่วงแรกเป้าหมายนี้จะถูกมองว่าเป็นเรื่องยาก แต่ปัจจุบันธนาคารยักษ์ใหญ่อย่าง JPMorgan และ Citigroup ต่างเริ่มเชื่อว่ามีโอกาสเป็นไปได้จริงในปี 2026 โดยมี "กระแส AI โลก" เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้เกาหลีใต้กลายเป็นศูนย์กลางการลงทุนด้านเทคโนโลยีของเอเชีย
แม้ตัวเลขดัชนีจะพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ แต่กลับมีภาพที่สวนทางกันคือ ขณะที่นักลงทุนต่างชาติเชื่อมั่นและเทเงินลงทุนในหุ้นเกาหลีอย่างมหาศาลจากอานิสงส์ของกลุ่มอุตสาหกรรม AI แต่นักลงทุนรายย่อยชาวเกาหลีใต้กลับไม่เชื่อมั่นในแผนปฏิรูปนี้ โดยกลายเป็น "ผู้ขายสุทธิ" และนำเงินกว่า 3.3 หมื่นล้านดอลลาร์หนีไปลงทุนในหุ้นสหรัฐ คริปโทและกองทุนที่มีความเสี่ยงสูงในต่างประเทศแทน
การที่คนในประเทศแห่ขนเงินออกไปลงทุนข้างนอก ส่งผลให้ "เงินวอนอ่อนค่าลง" อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนว่า แม้ตัวเลขตลาดหุ้นจะดูสวยหรูเพียงใด แต่ความเชื่อมั่นที่แท้จริงของประชาชนต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจในระยะยาวยังคงเป็นโจทย์ใหญ่ที่รัฐบาลต้องแก้
ศึกเจ้าพ่อบิตคอยน์ vs เจ้าพ่อชอร์ต
สงครามระหว่าง จิม ชาโนส (Jim Chanos) นักลงทุนสายขายชอร์ตระดับตำนาน กับ ไมเคิล เซย์เลอร์ (Michael Saylor) ผู้บริหารบริษัท Strategy กลายเป็นการประลองที่เดิมพันด้วยความเชื่อมั่นในระบบทุนนิยมยุคคริปโท
ต้นปีที่ผ่านมา ชาโนสมองเห็น "ความผิดปกติ" ในตลาด เมื่อราคาหุ้นของบริษัทเซย์เลอร์พุ่งสูงขึ้นจนเกินมูลค่าของ Bitcoin ที่บริษัทถือครองอยู่จริงๆ เขาจึงทำกลยุทธ์ที่เรียกว่า "Short Stock, Long Bitcoin" คือการขายชอร์ตหุ้นของเซย์เลอร์ และหันไปซื้อบิตคอยน์โดยตรงแทน เพราะเขาเชื่อว่าราคาหุ้นที่สูงเกินจริงนั้นไม่ยั่งยืน
ทั้งคู่ต่างปะทะกันผ่านสื่อ โดยเซย์เลอร์มองว่าชาโนสไม่เข้าใจโมเดลธุรกิจของเขา ในขณะที่ชาโนสตอกกลับบน X ว่าคำอธิบายของเซย์เลอร์เป็นเพียง "เรื่องไร้สาระทางการเงิน"
ในที่สุด การเดิมพันของชาโนสก็พิสูจน์ว่าถูกต้อง เมื่อกระแสความนิยมในบริษัทบริหารสินทรัพย์ดิจิทัลเริ่มลดลง และราคา Bitcoin เริ่มย่อตัวจากจุดสูงสุด ส่งผลให้ "ส่วนต่างราคา" ของหุ้นเซย์เลอร์หายไป
นับตั้งแต่ประกาศชอร์ตจนถึงวันที่ปิดสถานะ (7 พ.ย.) หุ้นของเซย์เลอร์ร่วงลงถึง 42% สร้างกำไรมหาศาลให้กับชาโนส เหตุการณ์นี้ชี้ให้เห็นว่า เมื่อความเชื่อมั่นสั่นคลอน งบดุลที่พองโตจากการบริหารทางการเงินและการไล่ราคาเพียงอย่างเดียวจะกลับกลายเป็นปัญหาทันที
พันธบัตรญี่ปุ่น ‘ขุมทรัพย์สายชอร์ต’
ในอดีตการพนันว่าดอกเบี้ยญี่ปุ่นจะขึ้นถูกเรียกว่า "เดิมพันมรณะ" เพราะใครทำก็เจ๊ง เนื่องจากธนาคารกลางญี่ปุ่นตรึงดอกเบี้ยต่ำไว้แน่นหนามานานหลายทศวรรษ
แต่ในปี 2568 สถานการณ์พลิกผัน เมื่อดอกเบี้ยพุ่งสูงขึ้นจริงทั่วกระดาน โดยพันธบัตรอายุ 10 ปี ทะลุ 2% และอายุ 30 ปีแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากรัฐบาลใหม่ ภายใต้นายกฯ ซานาเอะ ทาคาอิจิ ได้อัดฉีดงบประมาณมหาศาล และธนาคารกลางเริ่มลดการอุ้มตลาด ทำให้พันธบัตรญี่ปุ่นกลายเป็นสินทรัพย์ที่ทำผลงานแย่ที่สุดในโลก นักลงทุนที่ขายชอร์ตจึงฟันกำไรมหาศาล
สงครามเจ้าหนี้ ใครเร็วกว่าคือคนรอด
ในภาวะที่บริษัทเป็นหนี้ท่วมและมีทรัพย์สินจำกัด เจ้าหนี้ไม่ได้ร่วมมือกันเหมือนก่อน แต่เปลี่ยนมาใช้กลยุทธ์ "ความรุนแรงระหว่างเจ้าหนี้" เพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งที่ดีที่สุด
กรณีศึกษา Envision Healthcare บริษัทขาดเงินอย่างหนัก แต่เจ้าหนี้กลุ่มส่วนใหญ่พยายามคัดค้านการกู้เพิ่มเพื่อรักษาผลประโยชน์เดิม
แต่จุดเปลี่ยนเกมคือ กองทุน Pimco และ King Street ไหวตัวทัน เลือกที่จะ "สวนกระแส" โดยยอมให้บริษัทกู้เงินใหม่ แต่มีเงื่อนไขว่าต้องเอา Amsurg ซึ่งเป็นธุรกิจที่ดีที่สุดในเครือมาเป็นหลักประกันให้กลุ่มตนเองแต่เพียงผู้เดียว
เมื่อธุรกิจนั้นถูกขายไป กองทุนกลุ่มที่ "เร็วและเด็ดขาด" ฟันกำไรไปถึง 90% ส่วนเจ้าหนี้รายอื่นที่มัวแต่คัดค้านและเจรจาตามระบบ กลับต้องมือเปล่าเพราะทรัพย์สินที่มีค่าถูกยึดไปหมดแล้ว
บทเรียนสำคัญในโลกการเงินยุคใหม่ "ความไว" สำคัญกว่า "ความร่วมมือ" และการเป็นฝ่ายที่ยึดกติกาเดิมอาจทำให้คุณถูกแซงหน้าจนไม่เหลืออะไรเลย
คืนชีพ ‘คู่แฝดพิษ’ Fannie & Freddie พุ่ง 367%
Fannie Mae และ Freddie Mac คือสองบริษัทยักษ์ใหญ่ในตลาดอสังหาริมทรัพย์สหรัฐฯ ที่เคยล้มหนักจนรัฐบาลต้องเข้ายึดกิจการและถอดหุ้นออกจากตลาดตั้งแต่ปี 2551 ในช่วงวิกฤติซับไพรม์ จนถูกขนานนามว่าเป็น "คู่แฝดพิษ" ของระบบเศรษฐกิจ
การชนะเลือกตั้งของ โดนัลด์ ทรัมป์ กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้นักลงทุนเชื่อว่า รัฐบาลชุดใหม่จะปล่อยมือจากบริษัทเหล่านี้และส่งคืนให้เอกชนบริหารอีกครั้ง ส่งผลให้ราคาหุ้นนอกตลาด (OTC) พุ่งทะยานสูงถึง 367%
นอกจากนี้ มีการคาดการณ์ว่าอาจมีการนำบริษัทกลับเข้าตลาดหุ้น (IPO) อีกครั้ง ซึ่งอาจมีมูลค่าสูงถึง 5 แสนล้านดอลลาร์
นักลงทุนระดับโลกอย่าง บิล แอ็กแมน และ ไมเคิล เบอร์รี จาก The Big Short ต่างกระโดดเข้ามาร่วมลงทุน เพราะเชื่อมั่นว่าบริษัทเหล่านี้ได้ล้างมลทินและพร้อมกลับมาสร้างกำไรมหาศาล
บทเรียนจากตุรกี การเมืองล้มกระดาน Carry Trade
ที่ผ่านมา นักลงทุนแห่ทำ Carry Trade คือ กู้เงินดอลลาร์ดอกต่ำ มาฝากเงินลีราตุรกีของประเทศตุรกีที่ดอกเบี้ยสูงกว่า 40% เพราะเชื่อว่าธนาคารกลางจะคุมค่าเงินได้
แต่หายนะได้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 19 มี.ค.68 ตำรวจบุกจับนายกเทศมนตรีฝ่ายค้าน ทำให้เกิดความวุ่นวายทางการเมือง เงินไหลออกจากประเทศทันที 1 หมื่นล้านดอลลาร์ในวันเดียว
สุดท้าย เงินลีราร่วงหนัก 17% ย้ำเตือนว่าดอกเบี้ยที่สูงลิ่วก็ไม่สามารถชดเชยความเสี่ยงจากการเมืองที่คาดเดาไม่ได้
’ตลาดตราหนี้‘ กับทฤษฎีแมลงสาบ
ในปี 2568 ตลาดตราหนี้เริ่มส่งสัญญาณน่ากังวล เมื่อหลายบริษัท เช่น Saks Global และ New Fortress Energy เริ่มผิดนัดชำระหนี้อย่างรวดเร็ว ทั้งที่เพิ่งกู้เงินไปและจ่ายดอกเบี้ยได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น
รวมทั้งยังมีเรื่องน่ากังวลที่ถูกซ่อนไว้ใต้พรม โดยมีการตรวจพบการฉ้อโกงที่แยบยลในระดับโครงสร้าง เช่น กรณีของ First Brands และ Tricolor ที่ใช้วิธีหลอกเจ้าหนี้ด้วยการนำ "หลักประกันชิ้นเดียว" ไปวนใช้ค้ำประกันเงินกู้จากเจ้าหนี้หลายรายซ้ำซ้อนกัน
เจมี ไดมอน ซีอีโอของ JPMorgan ให้คำเตือนที่กลายเป็นไวรัลในตลาดการเงินเกี่ยวกับทฤษฎีแมลงสาบว่า "ถ้าคุณเห็นแมลงสาบเดินอยู่ในบ้านตัวหนึ่ง แปลว่ายังมีพวกมันอีกฝูงใหญ่ซ่อนอยู่หลังกำแพง"
การพบปัญหาในไม่กี่บริษัทนี้เป็นเพียง "ยอดภูเขาน้ำแข็ง" ที่สะท้อนว่ามาตรฐานการปล่อยกู้ที่หละหลวมมานานหลายปีเริ่มพ่นพิษ และนี่คือสัญญาณเตือนภัยล่วงหน้าว่าวิกฤตการเงินระลอกใหญ่อาจเกิดขึ้นจริงในปี 2569
ปี 2568 คือปีที่สอนให้รู้ว่า "ความไว" และ "การอ่านเกมการเมือง" สำคัญพอๆ กับงบการเงิน แต่เหนือสิ่งอื่นใด "ทฤษฎีแมลงสาบ" กำลังเตือนเราว่า อย่าเพิ่งประมาทกับความสำเร็จในปีนี้ เพราะระเบิดเวลาลูกถัดไปอาจกำลังเริ่มนับถอยหลัง
อ้างอิง Bloomberg







