จับตา 'ฟองสบู่แร่เงิน' แม้แต่ 'อีลอน มัสก์' ยังกังวล ดันราคานิวไฮแตะ 84 ดอลลาร์

จับตา 'ฟองสบู่แร่เงิน'  แม้แต่ 'อีลอน มัสก์' ยังกังวล ดันราคานิวไฮแตะ 84 ดอลลาร์

จับตา 'ฟองสบู่แร่เงิน' หลัง 'อีลอน มัสก์' เขย่าตลาดแร่เงินพุ่งนิวไฮ แตะ 84 ดอลลาร์ แกร่งสุดในรอบ 74 ปี ท่ามกลางความต้องการล้น

บลูมเบิร์กรายงานว่า “ราคาแร่เงิน” (Silver) พุ่งทะลุ 80 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยมีช่วงหนึ่งทะยานไปแตะ 84 ดอลลาร์ ก่อนจะย่อตัวลง ท่ามกลางภาวะ "ขาดตลาด" และกระแสเก็งกำไรที่ร้อนแรงที่สุดในรอบกว่า 70 ปี

ในช่วงเช้าวันจันทร์ (29 ธ.ค.)ที่ผ่านมา ราคาสปอตเงิน ทะยานขึ้นสูงสุดถึง 6% แตะระดับ 84.01 ดอลลาร์ต่อออนซ์ก่อนจะมีการย่อตัวสลับกับการฟื้นตัวตามกลไกตลาด ซึ่งการพุ่งขึ้นของ ราคาเงิน ในเดือน ธ.ค. เพียงเดือนเดียว มีมูลค่าเพิ่มขึ้นมากกว่า 40% และทำผลงานรอบปีดีที่สุดในรอบ 74 ปี ตั้งแต่พ.ศ. 2494

จับตา 'ฟองสบู่แร่เงิน'  แม้แต่ 'อีลอน มัสก์' ยังกังวล ดันราคานิวไฮแตะ 84 ดอลลาร์

 

แม้แต่ ‘อีลอน มัสก์’ ยังกังวล

แรงขับเคลื่อนสำคัญส่วนหนึ่งมาจากกระแสความตื่นตัวของนักลงทุน หลังจาก “อีลอน มัสก์” (Elon Musk) ได้ออกมาแสดงความกังวลผ่านแพลตฟอร์ม X หลังจากมีรายงานว่า รัฐบาลจีนเตรียมบังคับใช้ มาตรการควบคุมการส่งออก "แร่เงิน" อย่างเข้มงวด โดยมีราย

จับตา 'ฟองสบู่แร่เงิน'  แม้แต่ 'อีลอน มัสก์' ยังกังวล ดันราคานิวไฮแตะ 84 ดอลลาร์

เรื่องนี้กลายเป็นประเด็นเมื่อ บัญชี X ชื่อ Bull Theory รายงานข่าวและถูกแชร์ต่อโดย เจสซี เพลตัน ว่าด้วยเรื่องที่ บริษัทต่างๆ ในจีนที่ต้องการส่งออกแร่เงินจะต้องขอใบอนุญาตจากรัฐบาลก่อนเท่านั้น โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.69 เป็นต้นไป ซึ่งเพลตันมองว่านี่คือ "เรื่องใหญ่กว่าที่ทุกคนคิด"

ด้านอีลอน มัสก์ ได้เข้ามาตอบกลับสั้นๆ แต่ชัดเจนว่า "นี่ไม่ใช่เรื่องดีเลย เพราะแร่เงินเป็นโลหะที่จำเป็นอย่างมากในกระบวนการทางอุตสาหกรรมหลายประเภท"

หวัง หยานชิง นักวิเคราะห์จาก China Futures Co. ให้ความเห็นว่าบรรยากาศการเก็งกำไรในปัจจุบันนั้นรุนแรงเกินไป และมองว่ากระแสข่าวการควบคุมการส่งออกของจีนนั้นไม่มีมูลความจริง เนื่องจากจีนเป็นผู้บริโภคโลหะเงินรายใหญ่ที่สุดของโลกอยู่แล้ว จึงไม่ใช่ผู้ส่งออกรายหลักมาตั้งแต่ต้น

ปัจจัยพื้นฐาน ดันความต้องการ ‘แร่เงิน’ พุ่ง

ในด้านอุตสาหกรรม โลหะเงินกลายเป็นส่วนประกอบที่เทคโนโลยีสมัยใหม่ขาดไม่ได้  ทั้งแผงโซลาร์เซลล์, อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และ ศูนย์ข้อมูล AI (AI Data Centers) 

ดังนั้น  ความต้องการที่พุ่งสูงสวนทางกับสต็อกสินค้าที่ต่ำเป็นประวัติการณ์ทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่ผู้ซื้อยอมจ่ายราคาพรีเมียมสูงกว่าปกติถึง 7% สำหรับการส่งมอบทันที   เมื่อเทียบกับการรอรับสินค้าในอีกหนึ่งปีข้างหน้า  

รวมทั้ง ปัจจัยพื้นฐานที่ซัพพอร์ตราคาตลอดทั้งปีคือการลดอัตราดอกเบี้ยติดต่อกัน 3 ครั้งของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกอบกับการเข้าซื้อสะสมของธนาคารกลางทั่วโลกและการไหลเข้าของเงินทุนในกองทุน ETF อย่างต่อเนื่อง

นอกจากปัจจัยทางเศรษฐกิจ ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ยังมีส่วนสำคัญในการผลักดันราคา โดยเฉพาะความขัดแย้งในเวเนซุเอลาและการปฏิบัติการทางทหารของสหรัฐในไนจีเรีย ส่งผลให้นักลงทุนมองหาโลหะมีค่าในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย หรือ Safe Haven

ในขณะที่ Bloomberg Dollar Spot Index ปรับตัวลดลง 0.8% ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์มักเป็นปัจจัยบวกโดยตรงที่หนุนให้ราคาโลหะมีค่าพุ่งสูงขึ้น

จับตา ‘ฟองสบู่’ แร่เงิน

โทนี่ ไซคามอร์ นักวิเคราะห์จาก IG Australia ออกโรงเตือนว่า ตลาดกำลังเผชิญกับภาวะ "ฟองสบู่ในตลาดเงิน"อย่างชัดเจน โดยเปรียบเทียบพฤติกรรมนักลงทุนว่าเหมือน "แมลงเม่าบินเข้าหาเปลวไฟ" เนื่องจากเงินทุนไหลเข้าสู่โลหะมีค่าอย่างรวดเร็วเกินไป ขณะที่การพัฒนาเหมืองแร่แห่งใหม่ต้องใช้เวลานานถึง 10 ปี ทำให้ไม่สามารถเพิ่มอุปทานมาขยายตัวรองรับอุปสงค์ที่ล้นทะลักได้ทันท่วงที จึงยากจะคาดเดาว่าฟองสบู่ลูกนี้จะแตกตัวลงเมื่อใด

ประเด็นที่น่าสนใจคือความแตกต่างระหว่าง "เงิน" และ "ทองคำ" 

บลูมเบิร์กระบุว่าตลาดเงินมีสภาพคล่องน้อยกว่าและไม่มีแหล่งสำรองทองคำแท่งขนาดใหญ่เหมือนในลอนดอนที่มีสำรองราว 7 แสนล้านดอลลาร์  

 ปัจจุบันคลังสินค้าในเซี่ยงไฮ้มีปริมาณเงินสำรองลดลงต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2558 ขณะที่โลหะเงินส่วนใหญ่ของโลกยังถูกกักไว้ในนิวยอร์กเพื่อรอผลการสอบสวนของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐว่าการนำเข้าแร่ธาตุสำคัญส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติหรือไม่ ซึ่งอาจนำไปสู่การเก็บภาษีนำเข้าในอนาคต

ทิม วอเตอร์เรอร์ หัวหน้านักวิเคราะห์ตลาดของ KCM Trade  ระบุว่ามีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูงที่ราคาโลหะเงินจะพุ่งขึ้นสู่ระดับ 90 ถึง 100 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ภายในปีหน้า เนื่องจากปัญหาการขาดแคลนด้านอุปทานยังคงเป็นปัจจัยหลักที่จะกดดันตลาดอย่างต่อเนื่อง เขายังเน้นย้ำว่าพลวัตของตลาดในปัจจุบัน ทั้งความต้องการที่ล้นหลามและปริมาณสินค้าที่จำกัด ยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนที่เอื้อประโยชน์ต่อราคาโลหะเงินอย่างชัดเจน