“ญี่ปุ่น” คงมาตรการโควิด ปิดรับชาวต่างชาติได้นานแค่ไหน

“ญี่ปุ่น” คงมาตรการโควิด ปิดรับชาวต่างชาติได้นานแค่ไหน

รู้หรือไม่ ญี่ปุ่นเป็นประเทศคงมาตรการจำกัดการเดินทางชาวต่างชาติเข้าประเทศที่เข้มข้นที่สุดแห่งหนึ่งในโลก และระหว่างนี้ ในมิติทางสังคม ก็เกิดกระแสกลัวคนต่างชาติ ขณะที่ในมิติทางเศรษฐกิจ ก็เกิดการช่วงชิงแรงงานต่างชาติที่มีอยู่กลุ่มเล็กๆ ในญี่ปุ่น

ยูกะ ฮาเซกาวะ นักวิจัยในโอซากา ประเทศญี่ปุ่น ได้สะท้อนมุมมองประเด็นทางสังคมและการเมืองในญี่ปุ่น ที่มีต่อมาตรการจัดการกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ว่า "ญี่ปุ่น" เป็นหนึ่งในประเทศแรกๆ ปิดพรมแดนหลังการระบาดโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนเมื่อ พ.ย.2564 และญี่ปุ่นยังคงข้อจำกัดการเดินทางที่เข้มงวดที่สุดในโลก 

ปัจจุบันไม่มีชาวต่างชาติได้รับอนุญาตเข้าญี่ปุ่น ไปจนถึงปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2565 ซึ่งวีซ่านักศึกษาต่างชาติ และวีซ่าคู่สมรสชาวต่างชาติของชาวญี่ปุ่นที่ไม่มีสถานะพำนักในประเทศระยะยาวก็ถูกระงับด้วย 

เมื่อเดือนที่แล้ว ไมค์ ไรอัน ผู้อำนวยการฝ่ายสถานการณ์ฉุกเฉินขององค์การอนามัยโลก วิพากษ์วิจารณ์มาตรการควบคุมการเดินทางของญี่ปุ่น และเรียกร้องใช้วิธีทดสอบหาเชื้อโควิดอย่างละเอียดก่อนและหลังเดินทางมาถึง ซึ่งย่อมจะดีกว่าปิดกั้นการเดินทาง 

แม้จะมีคำวิจารณ์จากนานาชาติ แต่ชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่ก็ให้การสนับสนุนมาตรการแตกต่างด้านสัญชาติ โดยพบว่า 8 ใน 10 เห็นด้วยกับการห้ามชาวต่างชาติเดินทางเข้าญี่ปุ่น 

สถานีโทรทัศน์ NHK เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นเมื่อวันอังคาร (11 ม.ค.)ว่า ประชาชน 2 ใน 3 ให้การสนับสนุนรัฐบาลญี่ปุ่นรับมือโควิด-19 ซึ่งช่วยให้คะแนนนิยมที่ย่ำแย่ตั้งแต่สมัยอดีตนายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ และอดีตนายกรัฐมนตรีโยชิฮิเดะ ซูกะ พลิกกลับมาทันที 

ขณะที่ฟูมิโอะ คิชิดะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นได้ช่วงชิงโอกาสนี้ประกาศชัยชนะต่อสาธารณะ โดยชี้ว่า มาตรการดังกล่าวลดการนำเข้าสายพันธุ์โอมิครอนจากต่างประเทศ และให้เวลากับประเทศเพื่อเตรียมพร้อมรับระบาดไวรัสที่อาจสูงขึ้น 

อิสามิ ซาไว จากองค์การส่งเสริมวิชาการแห่งประเทศญี่ปุ่น กล่าวว่า การส่งเสริมห้ามคนต่างชาติเข้าประเทศ อาจยิ่งเพิ่มกระแสความรู้สึกกลัวคนต่างประเทศในสังคมญี่ปุ่น พร้อมกับเรียกร้องยกเลิกการแบนคนต่างชาติ 

คุมแรงงานต่างชาติ ส่งผลกระทบ ศก.ญี่ปุ่น 

ญี่ปุ่นระมัดระวังเรื่องการโยกย้ายถิ่นฐานมานานแล้ว แต่อัตราการเกิดที่ลดลงและประชากรสูงอายุได้ทำให้เห็นการเปลี่ยนแปลงชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะญี่ปุ่นเปิดรับแรงงานต่างชาติเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวในช่วง 7 ปีก่อนหน้าสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ปี 2563 

ปัญหาที่เกิดขึ้นก็เหมือนๆกับหลายประเทศที่ต้องพึ่งพาแรงงานข้ามชาติ และเมื่อเกิดไวรัสก็ยิ่งทำให้เห็นกระแสการไหลกลับของแรงงานต่างชาติ 

ในระหว่างปลายปี 2563 - มิถุนายน 2564 สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองของญี่ปุ่นรายงานว่า จำนวนผู้ฝึกงานด้านเทคนิคและนักศึกษาต่างชาติลดลง 6.4% และ 18.9%  เนื่องจากหลายคนกลับบ้าน

อย่างไรก็ตาม พบว่า การประกาศรับสมัครงานเพิ่มขึ้น แต่ตลาดแรงงานตึงตัว อาจเห็นค่าแรงเพิ่มขึ้น เนื่องจากธุรกิจแข่งขันกันเพื่อแย่งชิงแรงงานกลุ่มเล็กๆ ดังนั้นในญี่ปุ่นอาจเห็นแรงจูงใจทางเศรษฐกิจเพียงเล็กน้อยที่จะยกเลิกการห้ามเดินทางชาวต่างชาติ

"ญี่ปุ่น" หาจุดสมดุลในอนาคต

ข้อควรคำนึงด้านสาธารณสุขเป็นสิ่งสำคัญที่รัฐบาลญี่ปุ่นตระหนักถึง โดยเฉพาะเป็นประเทศสังคมผู้สูงวัย ซึ่งมีพลเมืองอายุ 65 ปีขึ้นไป มีอยู่ราว 3 ใน 10 ของประชากรประเทศ 

แต่การปิดกั้นการเดินทาง ซึ่งเป็นการติดต่อทางกายภาพ อาจเป็นอันตรายต่อความสัมพันธ์ของญี่ปุ่นต่อโลกภายนอก โดยที่องค์การอนามัยโลกเห็นว่า การแสดงผลเชื้อตรวจโควิดเป็นลบ การฉีดวัคซีน และสวมหน้ากากอนามัยเป็นเกราะป้องกันสายพันธุ์โอมิครอนได้ดีที่สุด

แต่แล้วก็เริ่มเห็นประกายแสงสว่าง เมื่อทางการญี่ปุ่นประกาศผ่อนคลายข้อจำกัดการรับนักศึกษาต่างชาติ กลับเข้าไปใหม่ในญี่ปุ่นในสัปดาห์นี้

สิทธิพิเศษล่าสุดนี้ จะมอบให้กับนักศึกษาที่ได้รับทุนของรัฐบาลญี่ปุ่นเท่านั้น ซึ่งไม่รวมบุคคลที่ศึกษาต่อในญี่ปุ่นประเภทอื่นๆ ขณะที่ปัจจุบันมีนักศึกษาต่างชาติที่ใช้ทุนส่วนตัวเดินทางมาเรียนที่ญี่ปุ่นมากกว่า 90% ของนักศึกษาต่างชาติทั้งหมด

การผ่อนคลายมาตรการดังกล่าว เป็นการให้รางวัลในฐานะที่ญี่ปุ่นสามารถจัดการกับการระบาดโควิด-19 ได้ในปลายปีที่แล้ว แต่ตามคาดการณ์ญี่ปุ่นจะมีผู้ติดเชื้อระลอกใหม่สูงสุดในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า 

อย่างไรก็ตาม มาตรการรับมือโควิดในแต่ละสถานการณ์ รวมถึงการห้ามต่างชาติเข้าประเทศย่อมสะท้อนถึงความคิดของสังคมญี่ปุ่น ซึ่งต้องจับตามาตรการควบคุมการเดินทางเข้าประเทศที่รัฐบาลญี่ปุ่นจะประกาศระยะต่อไป