แอร์เอเชียตั้งเป้าแชมป์แอพฯเรียกรถแทนแกร็บ-โกเจ็กตลาดอาเซียน

แอร์เอเชียตั้งเป้าแชมป์แอพฯเรียกรถแทนแกร็บ-โกเจ็ก ในอาเซียน โดยแอร์เอเชีย ไรด์จะขยายธุรกิจเข้าไปในประเทศไทยในปีนี้ จากนั้นก็ขยายต่อไปยังอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์เป็นอันดับต่อไป
หลังจากเปิดตัวอย่างฮือฮาและปรับโฉมอุตสาหกรรมการบินในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เมื่อ20ปีที่แล้ว ตอนนี้แอร์เอเชีย มีภารกิจใหม่ที่สร้างความฮือฮาไม่แพ้เมื่อ2ทศวรรษที่แล้วนั่นคือการรุกธุรกิจแอพพลิเคชั่นให้บริการรถรับจ้างที่ตอนนี้มี“แกร็บ”และ“โกเจ็ก” เป็นจ้าวตลาดอยู่
“อแมนดา วู” ประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหาร(ซีอีโอ)แอร์เอเชีย ซูเปอร์แอพ ซึ่งดูแลธุรกิจที่ไม่ใช่สายการบิน แต่ดูแลธุรกิจส่งพัสดุ ส่งอาหาร ดิวตี้ฟรี และแผนกของชำของแอร์เอเชีย ให้สัมภาษณ์นิกเคอิ เอเชียว่า "แอร์เอเชีย ไรด์(AirAsia Ride)ตั้งเป้าที่จะเอาชนะบรรดายักษ์ใหญ่ที่เป็นคู่แข่งและก้าวขึ้นมาเป็นบริษัทให้บริการแอพฯเรียกรถรับจ้างภายในระยะเวลา 5 ปีนับจากนี้"
วู บอกว่า หลังจากเปิดตัวในเดือนส.ค.ปีที่แล้ว ตอนนี้ธุรกิจให้บริการแอพฯเรียกรถรับจ้างของแอร์เอเชีย ไรด์ครอบคลุมเมืองใหญ่ทุกแห่งในมาเลเซีย มียอดของโดยรวมต่อเดือนเป็นตัวเลขกว่า6หลักและมีคนขับในสังกัด 30,000 คน
“ฉันมองเห็นภาพชัดเจนว่า แอร์เอเชียไรด์จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้เล่นชั้นนำในภูมิภาคนี้เหมือนที่เราเคยทำสำเร็จมาแล้วในธุรกิจการบิน” วู กล่าวด้วยความมั่นใจที่แสดงถึงความพร้อมรับความท้าทายจากบรรดาคู่แข่ง
แอร์เอเชีย ไรด์ เป็นบริษัทในเครือแอร์เอเชีย กรุ๊ป ที่มีโทนี เฟอร์นันเดส เป็นเจ้าของร่วมและผู้ก่อตั้ง โดยเฟอร์นานเดสเริ่มหันมาให้ความสนใจขยายธุรกิจเข้าไปยังธุรกิจที่ไม่ใช่การบินหลังจากการระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้การเดินทางทางอากาศเป็นอัมพาติตั้งแต่เดือนก.พ.ปี 2563
เริ่มตั้งแต่รุกเข้าไปในธุรกิจขนส่งสินค้าและโลจิสติกและธุรกิจเอเยนซีท่องเที่ยวทางออนไลน์ ปัจจุบัน เฟอร์นานเดส เป็นเจ้าของอาณาจักรธุรกิจที่ไม่ใช่สายการบินมากมายตั้งแต่ร้านอาหารไปจนถึงธุรกิจขายอาหาร ขายของชำและธุรกิจบริการส่งพัสดุ
รวมทั้งธุรกิจประกัน และธุรกิจสินเชื่อสำหรับลูกค้ารายได้น้อย แผนกธุรกิจดิจิทัลของแอร์เอเชียมีมูลค่าทางการตลาด 1,000 ล้านดอลลาร์ นับจนถึงเดือนก.ค. และเฟอร์นานเดสก็กล่าวอย่างทะเยอทะยานว่าจะทำให้แอร์เอเชีย ไรด์ทำรายได้ราวครึ่งหนึ่งของรายได้โดยรวมของกลุ่มบริษัทภายในระยะกลางนี้
เมื่อเดือนก.ค.แอร์เอเชีย ประกาศเข้าซื้อกิจการโกเจ็ก ที่ดำเนินการในประเทศไทย เพื่อพัฒนาธุรกิจแอร์เอเชียให้กลายเป็นซูเปอร์แอพฯ ครอบคลุมการให้บริการในภูมิภาคอาเซียน
เฟอร์นันเดส กล่าวว่า การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้เป็นการเริ่มต้นความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ระยะยาวอย่างยิ่งใหญ่กับโกเจ็กของกลุ่มแอร์เอเชีย ซึ่งจะทำให้อุตสาหกรรมสั่นสะเทือนอย่างแน่นอน
"ด้วยการผนึกกำลังและสานต่อธุรกิจที่มั่นคงของโกเจ็กในประเทศไทย เชื่อว่าเราจะสามารถขับเคลื่อนความมุ่งมั่นของเราในพื้นที่นี้ได้อย่างเต็มศักยภาพ" เฟอร์นันเดส กล่าว
แอร์เอเชียมีระบบนิเวศธุรกิจดิจิทัล และประสบความสำเร็จในการสร้างผลิตภัณฑ์และบริการด้านไลฟ์สไตล์ที่ไม่ใช่ของสายการบินกว่า 15 รายการบนแพลตฟอร์มพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ดิจิทัลในมาเลเซีย
ซึ่งความร่วมมือครั้งนี้จะทำให้กลุ่มแอร์เอเชียก้าวขึ้นไปอีกขั้น เพื่อตอบสนองต่อความต้องการในภูมิภาคที่หลากหลาย ซึ่งแอร์เอเชียบริษัทแม่ตั้งเป้าที่จะนำเสนอซูเปอร์แอพฯของบริษัทไปยังตลาดหลักทั้งหมด หลังจากที่ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม
“ธุรกิจดิจิทัลทั้งหมดของแอร์เอเชียกำลังเติบโตอย่างแข็งแกร่งและต่อเนื่อง และด้วยการเป็นพันธมิตรครั้งนี้ เป้าหมายของแอร์เอเชียในการเป็นแอพฯยอดเยี่ยมของอาเซียนกำลังจะกลายเป็นจริงในเวลาอันรวดเร็ว” เฟอร์นันเดส กล่าว
กลับมาที่การให้สัมภาษณ์นิกเคอิ วู บอกว่า แอร์เอเชีย ไรด์จะขยายธุรกิจเข้าไปในประเทศไทยในปีนี้ จากนั้นก็ขยายต่อไปยังอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ โดยตอนนี้บริษัทได้เริ่มดำเนินการด้านต่างๆเพื่อขยายธุรกิจเข้าไปในสามประเทศนี้แล้ว
“เราไม่เห็นว่ามีความท้าทายอะไรในการที่จะได้รับการอนุมัติให้เข้าไปดำเนินธุรกิจในประเทศเหล่านี้เพราะเราเป็นแบรนด์ที่คนรู้จักดีและเราก็มีฐานธุรกิจในมาเลเซีย”วู ซึ่งร่วมงานกับแอร์เอเชียมานาน 10 ปีและเริ่มด้วยการเป็นผู้จัดการฝ่ายการตลาด กล่าว
นอกจากนี้ แอร์เอเชียยังติดต่อกับบรรดาบริษัทหุ้นส่วนในท้องถิ่นในทั้งสามประเทศเพื่อให้มั่นใจว่าการดำเนินงานเพื่อขยายธุรกิจเข้าไปในประเทศเหล่านี้จะราบรื่น แต่วู ก็ปฏิเสธที่จะให้รายละเอียดเกี่ยวกับมูลค่าของเงินลงทุนในการขยายธุรกิจของแอร์เอเชีย ไรด์ และธุรกิจดิจิทัลให้มีขนาดใหญ่ขึ้น
วู กล่าวถึงข้อได้เปรียบของแอร์เอเชีย ไรด์ที่ทำให้เหนือว่าบรรดาคู่แข่งว่าคือระบบนิเวศที่สมบูรณ์แบบของบริษัทและการแชร์ข้อมูลจากบรรดาผู้ปฏิบัติการด้านสายการบินของบริษัทซึ่งวูมองว่าทำให้บริษัทมีความเป็นเอกลักษณ์ในระดับภูมิภาค
“อีกไม่นานเราจะนำบริการแชร์รถรับจ้างไปยังสนามบินเมื่อลูกค้าของเราซื้อตั๋วโดยสารเครื่องบิน จากนั้นระบบจะเรียกคนขับที่อยู่ใกล้ที่สุดให้ไปที่สนามบินในเวลาพอดีกับที่ผู้โดยสารเดินทางมาถึง นี่คือการทำงานส่วนหนึ่งของระบบนิเวศของเรา ซึ่งบอกได้เลยว่าไม่มีใครทำได้”วู กล่าว
"ฟรอสต์ แอนด์ ซุลลิแวน" ได้เผยแพร่รายงานภายใต้หัวข้อ "2021 ASEAN Shared Mobility Market” ที่ระบุว่า ตลาดบริการแอพฯรถรับจ้างกำลังได้รับความนิยมและจะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องแม้คนส่วนใหญ่ในอาเซียนจะมีรถยนต์ส่วนตัวใช้ เพราะการจราจรที่แทบไม่ขยับและปริมาณรถมากมายบนถนนในเมืองหลวงของอาเซียนจะช่วยกระตุ้นให้ความต้องการใช้แอพฯเรียกรถรับจ้างเพิ่มขึ้นอย่างมาก
“ผู้คนในเมืองใหญ่หรือเมืองหลวงเจอปัญหาหาที่จอดรถยากและค่าจอดรถแพง โดยเฉพาะเวิร์คสเปซและอาคารพาณิชย์ การใช้บริการแอพฯเรียกรถรับจ้างจึงตอบโจทย์ผู้คนกลุ่มนี้ได้อย่างดี ”รายงานระบุ







