กลุ่มผู้รักสันติภาพจี้ผู้นำไทย-กัมพูชา-อาเซียน เร่งแก้ข้อพิพาทโดยสันติ

กลุ่มนักวิชาการ ปัญญาชน ตัวแทนภาคประชาสังคม และผู้รักสันติภาพที่สนับสนุนความยุติธรรมและ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์จากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ออกแถลงการณ์ถึงผู้นําไทย กัมพูชา และอาเซียน แสดงความห่วงกังวลอย่างยิ่งต่อสถานการณ์ความตึงเครียดล่าสุดตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา
กลุ่มนักวิชาการ ปัญญาชน ตัวแทนภาคประชาสังคม และผู้รักสันติภาพทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จำนวน 121 คน ออกแถลงการณ์ถึงผู้นําไทย กัมพูชา และสมาคม ประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) เพื่อแสดงความห่วงกังวลอย่างยิ่งต่อสถานการณ์ความตึง เครียดล่าสุดตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา ที่ไม่เพียงแต่คุกคามสันติภาพและความมั่นคงของภูมิภาคเท่านั้น หากยังทําให้ชุมชนตามแนวชายแดนตกอยู่ในความเสี่ยงอันตราย และสั่นคลอนคุณค่าหลักของอาเซียนที่ยึดมั่น ในการสนทนา ความเคารพซึ่งกันและกัน และการระงับข้อพิพาทโดยสันติวิธี
แถลงการณ์เรียกร้องให้รัฐบาลไทย กัมพูชา และอาเซียน ดําเนินการอย่างทันท่วงทีร่วมกันบนพื้นฐานของกฎหมายระหว่างประเทศและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ โดยอาศัยหลักการสําคัญ 6 ประการ สรุปได้ดังนี้
1.การปฏิบัติตามข้อตกลงสันติภาพกัวลาลัมเปอร์อย่างเคร่งครัด โดยขอเน้นยํ้าว่า บทบัญญัติทั้งหมดจะต้องได้รับการนําไป ปฏิบัติอย่างเที่ยงธรรมและโปร่งใสโดยทันที
ทั้งนี้ ข้อตกลงสันติภาพกัวลาลัมเปอร์มิใช่ทางเลือก แต่เป็นพันธกรณีทางการเมืองที่มีผลผูกพันต่อผู้นําสูงสุดของรัฐบาล การบิดพลิ้วใด ๆ อาจสร้างความเสี่ยงให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่อชุมชนตามแนว ชายแดนของทั้งสองประเทศ ตลอดจนความเชื่อมั่นในภูมิภาค และความน่าเชื่อถือของอาเซียน
ประธานอาเซียนต้องแสดงบทบาทที่แข็งขัน เป็นกลาง และคงเส้นคงวา และเรียกร้องด้วย ความเคารพให้ประธานอาเซียนและคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (ASEAN Observer Team หรือ AOT) ปฏิบัติภารกิจของตนด้วยความเป็นมืออาชีพ ความถูกต้อง และความโปร่งใสอย่างเต็มที่
2.จัดตั้งกลไกอิสระเพื่อการตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมาและโปร่งใส ริเริ่มสอบสวนข้อเท็จจริงในทุกกรณีอย่างโปร่งใสและ เป็นกลาง การตรวจสอบนี้ควรนําโดยคณะทํางานอิสระเพื่อแสวงหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นล่าสุดตามชายแดน
รัฐบาลของทั้งสองประเทศ ซึ่งเป็นภาคีอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล หรือ “อนุสัญญาออตตาวา” ควรร่วมกันยื่นคําร้องต่อประธานอนุสัญญา ฯ ให้จัดตั้งคณะทํางานตรวจสอบ ข้อเท็จจริง เพื่อปฏิบัติหน้าที่เชิงเทคนิคและเชิงคุณธรรมในการธํารงไว้ซึ่งความจริง สร้างหลักประกันภาระ รับผิดชอบ และส่งเสริมความไว้วางใจ ตามที่ระบุไว้ในมาตรา 4 ของปฏิญญาร่วม ฯ ซึ่งลงนามเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2568 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์
3.ให้โอกาสสันติภาพได้ทํางานตามบรรทัดฐานระหว่างประเทศและภูมิภาคอย่างเต็มที่ เรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายยึดมั่นในเจตนารมณ์และตัวบทของกฎบัตรสหประชาชาติ กฎบัตรอาเซียน และ สนธิสัญญามิตรภาพและความร่วมมือในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้(Treaty of Amity and Cooperation หรือ TAC) ที่ระบุว่าความขัดแย้งใด ๆ ที่มีแนวโน้มจะคุกคามสันติภาพและความมั่นคงระหว่าง ประเทศและความมั่นคงในภูมิภาค จะต้องได้รับการแก้ไขผ่านการเจรจา การตรวจสอบ การไกล่เกลี่ย การ ประนีประนอม กระบวนการอนุญาโตตุลาการ กลไกทางตุลาการ หรือวิธีการระงับข้อพิพาทโดยสันติวิธีอื่น ๆ
“เราเน้นยํ้าเป็นพิเศษถึงความจําเป็นที่จะต้องยึดมั่นในมาตรา 33 ของกฎบัตรสหประชาชาติ และมาตรา 22 ของกฎบัตรอาเซียน รวมถึงวัตถุประสงค์ทั้งหมดของ TAC”
สนับสนุนให้ผู้นําทั้งสองประเทศพิจารณาจัดตั้งคณะกรรมาธิการระดับสูง (High Council) ตามที่ระบุ ไว้ใน มาตรา 14 และ 15 ของ TAC เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของกลไกการแก้ไขความขัดแย้งนี้
แม้ว่าการใช้กําลัง ทหารในการป้องกันตนเอง จะมีความชอบธรรมตามมาตรา 51 ของกฎบัตรสหประชาชาติ แต่ควรถือเป็น ทางเลือกสุดท้ายทุกฝ่ายต้องตระหนักอยู่เสมอว่าเป้าหมายหลักประการหนึ่งของกฎบัตรสหประชาชาติ คือ การ ป้องปรามการใช้กําลังทางทหารแต่ฝ่ายเดียวในการดําเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
4.ปกป้องสิทธิมนุษยชนและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของชุมชนที่ได้รับผลกระทบ สนับสนุนให้มีส่วนร่วมในการเจรจาในทุกระดับ ทั้งในระดับ ท้องถิ่น ระดับชาติ และระดับภูมิภาค
การประเมินความต้องการ การปรึกษาหารือ และการชดเชยความ เสียหายที่เป็นธรรมจะต้องเป็นแนวทางสําหรับการฟื้นฟูเยียวยา เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีเสียงใดถูกละเลยในการ กําหนดแนวทางดําเนินการเพื่อสร้างสันติภาพ
5.ส่งเสริมการทูตภาคประชาชนและต่อต้านวาทกรรมสร้างความเกลียดชัง เปิดพื้นที่สําหรับการพุดคุยของทุกฝ่าย เพื่อให้นักวิชาการ ภาคประชาสังคม ผู้กําหนด นโยบาย สื่อมวลชน ภาคธุรกิจ และชุมชนที่ได้รับผลกระทบเข้ามามีส่วนร่วมในการเสริมสร้างความไว้วางใจ การปรองดอง และการอยู่ร่วมกันอย่างสันติในระยะยาว
ในขณะเดียวกัน ตัวแสดงที่มิใช่รัฐและผู้มีอิทธิพลใน สื่อสังคมออนไลน์และสื่อกระแสหลัก (influencers) จะต้องปฏิบัติตนด้วยมาตรฐานระดับสูง และแสดงถึง ความรับผิดชอบ เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่มีการเผยแพร่ความเกลียดชัง การลดทอนความเป็นมนุษย์ หรือข้อมูลอัน เป็นเท็จที่จะสร้างความเสียหายเพิ่มเติมต่อสันติภาพและธรรมาภิบาลในระบอบประชาธิปไตยที่มีความเปราะบางเป็นทุนเดิม โดยการดําเนินการทั้งหมดนี้จักต้องตั้งอยู่บนหลักการที่ว่าเสรีภาพในการแสดงออกต้อง ได้รับการคุ้มครองเช่นกัน
6.เปลี่ยนวาทกรรมความขัดแย้งด้วยการศึกษา เพื่อทําลายวงจรความขัดแย้งที่มีพื้นฐานมาจากความขุ่นเคืองในอดีตจากประวัติศาสตร์บาดแผล เรียกร้องให้มีการทบทวนและประเมินแบบเรียนและตําราประวัติศาสตร์ รวมถึงสื่อการเรียนรู้ทั้งในประเทศ ไทยและกัมพูชาอย่างละเอียดรอบคอบ โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมความเข้าใจซึ่งกันและกันลดอคติ และช่วย ให้คนรุ่นใหม่มองเพื่อนบ้านในฐานะหุ้นส่วนแห่งสันติภาพและความเจริญรุ่งเรือง







