ประมวล 'ความพัง' ของเศรษฐกิจสหรัฐ เมื่อ 'ชัตดาวน์' ยาวนานที่สุดทุบสถิติใหม่

ประมวล 'ความพัง' ของเศรษฐกิจสหรัฐ เมื่อ 'ชัตดาวน์' ยาวนานที่สุดทุบสถิติใหม่

‘ชัตดาวน์สหรัฐ’ ในยุคทรัมป์ 2.0 เข้าสู่วันที่ 36 แล้ว ขึ้นแท่นยืดเยื้อยาวที่สุดในประวัติศาสตร์ กลายเป็นวิกฤติใหญ่อเมริกา เมื่อพนักงานรัฐต้องหยุดงานหลายแสนคน ธุรกิจขาดสภาพคล่อง การเดินทางชะงักงัน ข้อมูลเศรษฐกิจถูกระงับเผยแพร่ นักเศรษฐศาสตร์เตือนหากยืดเยื้อต่อ เศรษฐกิจสหรัฐอาจทรุดตัว และเฟดอาจถูกบีบให้ลดดอกเบี้ยอีก

สหรัฐกำลังจารึกหน้าประวัติศาสตร์ครั้งใหม่ เมื่อการ “ชัตดาวน์รัฐบาลสหรัฐ” ทำสถิติ “ยาวนานที่สุด” เท่าที่ประเทศเคยประสบมา การขาดงบเพราะสภาคองเกรสไม่สามารถผ่านร่างงบประมาณได้ ล่วงเข้าสู่วันที่ 36 ในวันพุธที่ 5 พ.ย.68 ทำลายสถิติเดิม 35 วัน ที่เคยเกิดขึ้นในปี 2019 หรือเป็นการทำลายสถิติเดิมของตนเองเมื่อครั้งรัฐบาลทรัมป์ 1.0

สิ่งนี้กำลังสร้างแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ถึงเศรษฐกิจ และชีวิตผู้คน ตั้งแต่พนักงานของรัฐที่ยังไม่ได้รับเงิน ระบบราชการสะดุดครั้งใหญ่ สินเชื่อรายย่อยที่ต้องหยุดอนุมัติ นักท่องเที่ยวขาดหาย ไปจนถึงผู้โดยสารที่ติดค้างในสนามบิน และตลาดหุ้นก็เริ่มสั่นคลอนจากความไม่แน่นอนทางการเมือง

สำหรับรายละเอียด “ความเสียหาย” จากภาวะชัตดาวน์ มีดังนี้

ประเทศเสียหายเฉียด 5 แสนล้านบาท/สัปดาห์

สำนักงานงบประมาณของสภาคองเกรส สหรัฐ (CBO) ซึ่งเป็นหน่วยงานอิสระที่ไม่สังกัดพรรคการเมืองระบุว่า การปิดทำการของรัฐบาลกลาง อาจสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจสหรัฐเป็นมูลค่า 7,000-14,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 220,000-450,000 ล้านบาท) และอาจทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ในไตรมาสที่ 4 ลดลง “มากถึง 2%” เนื่องจากการหยุดชะงักของการใช้จ่ายภาครัฐ

CBO ยังประเมินอีกว่า หากการชัตดาวน์ยืดเยื้อไป 6 สัปดาห์จนถึงวันที่ 12 พฤศจิกายน ความเสียหายจะเพิ่มเป็น 11,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 3.5 แสนล้านบาท) และถ้ายาวถึง 8 สัปดาห์จนถึงวันที่ 26 พฤศจิกายน ความสูญเสียจะพุ่งขึ้นเป็น 14,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 4.5 แสนล้านบาท)

ขณะที่สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังของสหรัฐเคยระบุก่อนหน้านี้ว่า การชัตดาวน์ที่ยืดเยื้อมานาน 2 สัปดาห์ มีแนวโน้มสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจสหรัฐสูงถึง “สัปดาห์ละ 15,000 ล้านดอลลาร์” หรือราว 4.8 แสนล้านบาท จากการสูญเสียผลผลิตทางเศรษฐกิจ

พนักงานรัฐหลายแสนคนถูกพักงาน ราชการสะดุด

หลังจากรัฐบาลสหรัฐเข้าสู่ “ภาวะชัตดาวน์” แล้ว ข้าราชการ และพนักงานของรัฐหลายแสนคนถูกสั่งพักงาน ส่งผลให้โครงการ และบริการสาธารณะสำคัญจำนวนมาก “ต้องหยุดชะงัก” อีกทั้งอาจส่งผลต่อความสามารถในการใช้จ่ายของพนักงานรัฐจำนวนมาก และส่งผลทางอ้อมต่อธุรกิจที่พึ่งพากำลังซื้อกลุ่มนี้

สำหรับหน่วยงานรัฐที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด ได้แก่

สำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อม (ถูกพักงาน 89%) 

กระทรวงศึกษาธิการ (ถูกพักงาน 87%) 

กระทรวงพาณิชย์ (ถูกพักงาน 81%) 

กระทรวงแรงงาน (ถูกพักงาน 76%) 

กระทรวงการเคหะและการพัฒนาเมือง (ถูกพักงาน 71%) 

กระทรวงการต่างประเทศ (ถูกพักงาน 62%) 

กระทรวงมหาดไทย (ถูกพักงาน 53%) 

กระทรวงเกษตร (ถูกพักงาน 49%) 

กระทรวงกลาโหม (ถูกพักงาน 45%) 

กระทรวงสาธารณสุข (ถูกพักงาน 41%) 

กระทรวงคมนาคม (ถูกพักงาน 23%)

ธุรกิจขนาดเล็กเสี่ยงขาดเงินทุน

ในการพึ่งพาแหล่งเงินกู้เพื่อเสริมสภาพคล่อง และลงทุน สำนักงาน U.S. Small Business Administration (SBA) ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐบาลกลางที่อนุมัติสินเชื่อรายเล็ก เช่น 7(a) loan และ 504 loan ต้องหยุดพิจารณาการอนุมัติเงินกู้ใหม่ทั้งหมด เพราะเจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่ถูกพักงาน

ด้วยเหตุนี้ ธุรกิจที่อยู่ระหว่าง “ขออนุมัติเงินทุนหมุนเวียน” เพื่อชำระค่าแรง วัตถุดิบ หรือค่าเช่าร้าน จะถูกขัดจังหวะทันที โดยหากสถานการณ์ยืดเยื้อเกิน 2–3 สัปดาห์ ธุรกิจรายย่อยที่กระแสเงินสดตึงตัวอยู่แล้ว อาจถึงขั้นต้อง "ปิดกิจการ" ลงได้ เพราะขาดเงินสดหมุนเวียน

ผู้โดยสารเครื่องบินกว่า 3 ล้านคนเดือดร้อน

สมาคมอุตสาหกรรมสายการบินประเมินว่า มีผู้โดยสารมากกว่า “3.2 ล้านคน” ได้รับผลกระทบจากเที่ยวบินล่าช้าหรือถูกยกเลิก เนื่องจากจำนวนเจ้าหน้าที่ควบคุมการบินขาดงานเพิ่มขึ้นอย่างมาก ตั้งแต่การปิดหน่วยงานรัฐบาลที่เริ่มต้นเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ที่ผ่านมา

ไบรอัน เบดฟอร์ด ผู้บริหารขององค์การบริหารการบินแห่งชาติ (FAA) กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ควบคุมการบิน 20-40% ใน 30 สนามบินหลักของประเทศไม่มาทำงาน

ในช่วงเดือนที่ผ่านมา มีเที่ยวบิน “หลายหมื่นเที่ยว” ล่าช้า โดยเฉพาะเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาเพียงวันเดียว มีเที่ยวบินล่าช้ามากกว่า 2,900 เที่ยว

ยอดจองท่องเที่ยวในสหรัฐร่วง

สมาคมการท่องเที่ยวสหรัฐ (U.S. Travel Association) เคยประเมินว่า ในช่วงชัตดาวน์ปี 2019 สหรัฐสูญเสียรายได้ท่องเที่ยวกว่า 100 ล้านดอลลาร์ (ราว 3,200 ล้านบาท) ต่อวัน จากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ยกเลิกหรือเลื่อนการเดินทาง

ยิ่งหากชัตดาวน์ในปีนี้ ลากยาวเกิน 3 สัปดาห์ ผลเสียจะทวีคูณ เพราะเดือน พ.ย.–ธ.ค. เป็น “ฤดูกาลท่องเที่ยวปลายปี” ที่มียอดการเดินทางสูงสุดของปี

ไม่เพียงเท่านั้น สถานที่ท่องเที่ยวที่รัฐดูแลหลายแห่งอย่างอุทยานแห่งชาติส่วนมากต้องปิดชั่วคราวหรือเปิดแบบจำกัด เพราะพนักงานดูแล และเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยถูกพักงาน นี่จึงส่งผลให้รัฐที่พึ่งพารายได้จากการท่องเที่ยวธรรมชาติ เช่น รัฐแอริโซนา ยูทาห์ และไวโอมิง  สูญเสียรายได้จากนักท่องเที่ยวในทันที

ข้อมูลเศรษฐกิจหยุดชะงัก

การชัตดาวน์หน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐซึ่งทำให้ “ข้อมูลเศรษฐกิจอย่างเป็นทางการ” ถูกระงับการเผยแพร่ กำลังเริ่มสร้าง “หมอกแห่งความไม่แน่นอน” ให้กับผู้กำหนดนโยบายในญี่ปุ่น และประเทศอื่นๆ ที่ต้องอาศัยข้อมูลจากเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลกนี้ เพื่อประเมินแนวโน้มของค่าเงิน การค้าระหว่างประเทศ และอัตราเงินเฟ้อของตนเอง

พูดอีกอย่างก็คือ “สิ่งที่เกิดขึ้นในอเมริกา ไม่ได้หยุดอยู่แค่ในอเมริกา” เจ้าหน้าที่ทั่วโลกเตือนว่า หากสถานการณ์ “การขาดข้อมูล” จากการหยุดดำเนินงานของหน่วยงานสหรัฐดำเนินต่อไปเป็นเวลานาน อาจทำให้การกำหนดนโยบายของประเทศต่างๆ ซับซ้อนขึ้น และเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดความผิดพลาดทางนโยบายขึ้น

ชัตดาวน์ลากยาว ฉุดตลาดแรงงาน

มาร์ก แซนดี หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของบริษัท Moody’s Analytics มองว่า การปิดทำการของรัฐบาลที่ยืดเยื้อ อาจทำให้ “กระแสตีกัน” เพิ่มขึ้น ในสภาพแวดล้อมด้านราคาที่ปั่นป่วนอยู่แล้ว กล่าวคือ อาจทำให้ราคาสินค้า และอัตราดอกเบี้ยผันผวนยิ่งกว่าเดิม

ในอีกด้านหนึ่ง ความล่าช้าในการให้บริการของรัฐบาล และการขาดแคลนงบประมาณ อาจส่งผลกระทบต่อการค้า และห่วงโซ่อุปทาน ทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้น แต่อีกด้านหนึ่ง หากเศรษฐกิจอ่อนแอ บริษัทต่างๆ ก็จะขึ้นราคาสินค้าได้ยาก ซึ่งอาจช่วยให้เงินเฟ้อโดยรวมอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ 

“เมื่อรวมทุกปัจจัยแล้ว ผมคิดว่า ยากจะคาดเดาได้แน่ชัด”

อย่างไรก็ตาม ภาวะชัตดาวน์ที่ยืดเยื้ออาจเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ตัดสินใจ “ลดอัตราดอกเบี้ย” ต่อไป

“เฟดกำลังให้น้ำหนักกับความอ่อนแอของตลาดแรงงาน มากกว่าความกังวลเรื่องเงินเฟ้อหรือสภาวะการเงินในตอนนี้” เขากล่าว “การชัตดาวน์ครั้งนี้ จะยิ่งทำให้ตลาดแรงงานที่เปราะบางอยู่แล้วอ่อนแอลงไปอีก”

 

 

 

อ้างอิง: Reuters, Reuters2, CNN, กรุงเทพธุรกิจ, กรุงเทพธุรกิจ2, กรุงเทพธุรกิจ3

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์