สื่อเกาหลีแฉศูนย์สแกมเมอร์กัมพูชา ร้างไร้คน คาดหนีไปเพื่อนบ้านพร้อมเหยื่อ

สื่อเกาหลีบุกศูนย์สแกมเมอร์ เปิดโปงฐานปฏิบัติการใหญ่ พบร้างไร้คน คาดหลบหนีไปประเทศเพื่อนบ้าน "ไทย เมียนมา และเวียดนาม" พร้อมกับเหยื่อ ตำรวจกัมพูชาอ้างตามจับไม่ทัน ผู้เชี่ยวชาญแนะต้องเร่งมือช่วยเหลือเหยื่อ ย้ำเวลาทองมีแค่สัปดาห์นี้เท่านั้น
สำนักข่าวโคเรียไทม์ส อ้างอิงสำนักข่าวฮันกุกอิลโบ เผยว่า การไปเยือนศูนย์สแกมเมอร์ในกัมพูชาพบว่า สถานที่ร้างไร้ผู้คน เปิดเข้าไปในห้องต่างๆ ได้กลิ่นบุหรี่อบอวลทั่วห้อง แต่ละห้องมีขนาดเพียงไม่กี่ตารางเมตร และมีเตียง 2 ชั้น ราว 2-3 เตียงต่อห้อง ทั้งยังพบเสื้อผ้า และผ้าขนหนู วางเกลื่อนพื้นห้องที่เต็มไปด้วยฝุ่น บ่งชี้ว่าแก๊งสแกมเมอร์รีบเผ่นหนีกะทันหัน
ผู้สื่อข่าวฮันกุกอิลโบ ได้ไปเยือนศูนย์ปฏิบัติการไท่ซี จ.ตาแก้ว ของกัมพูชา พร้อมกับทีมเฉพาะกิจของรัฐบาลเกาหลีใต้ แต่กลับพบว่าที่นั่นเงียบสงัดจนน่าขนลุก
ศูนย์ที่อยู่ห่างจากกรุงพนมเปญไปทางตอนใต้ราว 40 กิโลเมตรนั้น บริหารจัดการโดยบริษัท Prince Group ที่ถูกสหรัฐ และอังกฤษคว่ำบาตรไปไม่กี่วันก่อนหน้า เนื่องจากพบการฉ้อโกงขนาดใหญ่ และเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ สถานที่แห่งนี้เคยรู้จักกันในชื่อ “หยวนฉู่” หรือแหล่งสแกมเมอร์ขนาดใหญ่ที่สุดในกัมพูชา แต่ตอนนี้กลายเป็นอาคารรกร้างไปแล้ว
ทั้งนี้ ศูนย์ไท่ซีมีอาคาร 4 ชั้นทั้งหมด 11 อาคาร แต่ละอาคารคาดว่ามีห้องพักประมาณ 120 ห้อง แต่ละห้องพักได้ 4-6 คน และจากการคำนวณคร่าวๆ ศูนย์แห่งนี้อาจเป็นที่พักของแรงงานมากกว่า 5,000 คน รวมคนสัญชาติเกาหลีใต้ และชาติอื่นๆ ที่ถูกจับตัวไป หรือถูกบังคับทำงานหลอกลวงออนไลน์ ตอนนี้อาคารเหลือแต่ฝุ่น และขยะ ไม่มีคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ใดๆ หลงเหลืออยู่
ปาง นาเรน รองเลขาธิการคณะกรรมการปราบปรามการหลอกลวงออนไลน์ของกัมพูชา กล่าวว่า เมื่อตำรวจเดินทางถึงที่แห่งนี้หลังได้รับรายงาน อาชญากรก็หลบหนีไปแล้ว
“เราได้สืบสวนข่าวกรองเกี่ยวกับสถานที่ดังกล่าวอย่างระมัดระวัง แต่น่าเสียดายที่ผู้ต้องสงสัยหลบหนีไปได้”
ขณะที่ชาวเกาหลีที่เดินทางไปกับทีมข่าวเสริมว่า เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะหลบหนีไปอย่างรวดเร็วโดยไม่มีข้อมูลภายในจากตำรวจท้องถิ่น
รัฐยิ่งช้า ยิ่งช่วยเหยื่อยากขึ้น
จากการสำรวจศูนย์สแกมเมอร์แหล่งอื่นๆ อีก 2 แห่ง อย่างศูนย์หว่องกู และแมงโก ที่เคยเป็นศูนย์ปฏิบัติการของแก๊งคอลเซนเตอร์ชื่อดังในอดีตก็พบเห็นฉากคล้ายๆ กัน กับไท่ซี
ในหว่องกูไม่มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ทางเข้าออก และหลังกำแพงสูงมีอาคารที่มีเหล็กเส้นหนาทึบประกอบอยู่ บ่งชี้ว่าเคยเป็นสถานที่กักขังคนมาก่อน
ส่วนนอกกำแพงก็มีป้ายขาดๆ แขวนไว้ ระบุว่า “ให้เช่า” บรรดาพ่อค้าแม่ค้าริมถนนในพื้นที่ใกล้เคียงคนหนึ่งกล่าวว่า “ในช่วงสามสี่เดือนที่ผ่านมาแทบไม่มีคนเข้าหรือออกที่นี่เลย” มีเพียงรถมอเตอร์ไซค์สองสามคันที่ขับเข้าออกในพื้นที่นี้ และเมื่อมองผ่านช่องแคบๆ จะเห็นอาคารร้าง
แม้สถานที่เหล่านั้นจะไม่มีแก๊งอาชญากรอยู่แล้ว แต่สัญญาณของการอพยพครั้งใหญ่เห็นได้ในสีหนุวิลล์ ห่างจากกรุงพนมเปญไปทางตะวันตกเฉียงใต้ราว 200 กิโลเมตร
วิดีโอที่สำนักข่าวฮันกุกอิลโบได้รับจากชาวเกาหลี แสดงให้เห็นภาพแรงงานชาวจีน และชาวเกาหลีกำลังขนอุปกรณ์ และกระเป๋าเตรียมย้ายสถานที่ใหม่
ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า สัญญาณนี้ไม่ใช่จุดจบของปฏิบัติการอาชญากรรม เป็นเพียงการย้ายที่ทำการเท่านั้น และจากรายงานการลักพาตัว และกักขังชาวต่างชาติที่เพิ่มมากขึ้น บ่งชี้ว่ากลุ่มอาชญากรกำลังย้ายฐานไปยังพื้นที่ชายแดน เช่น ปอยเปต หรือประเทศอื่นๆ รวมถึงเมียนมา
สิ่งที่น่ากังวลตอนนี้คือ ชาวเกาหลีที่ถูกจับไปก่อนหน้านี้อาจถูกพาไปกับพวกเขาด้วย
นักเคลื่อนไหวคนหนึ่งกล่าวว่า “ยิ่งรัฐบาลช้ามากเท่าไร กลุ่มเหล่านี้ก็จะยิ่งหลบซ่อนตัวได้มากขึ้นเท่านั้น และจะทำให้ช่วยเหลือเหยื่อได้ยากมากขึ้น”
อ๊ก แฮซิล รองประธานสมาคมเกาหลีในกัมพูชา ผู้ทำงานช่วยเหลือเหยื่อมานาน 3 ปี เผยว่า "มีข่าวลือว่าบางกลุ่มได้ย้ายไปยังเมียนมา ไทย หรือเวียดนามแล้ว ในกรณีนั้นอาจพาเหยื่อชาวเกาหลีไปกับพวกเขาด้วย"
อ๊ก เตือนด้วยว่า ยิ่งคนเหล่านั้นซ่อนตัวได้มากเท่าไร จะยิ่งติดตามพวกเขาได้ยากขึ้นเท่านั้น และตามความเป็นจริง สัปดาห์นี้คือช่วงเวลาทองสำหรับรัฐบาลที่จะบังคับใช้กฎหมาย และช่วยเหลือชาวเกาหลีที่ถูกจับตัวไป
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







