'เวิลด์แบงก์' ปรับเพิ่มคาดการณ์ 'จีดีพีไทย' มองปี 2025 โต 2% ปีหน้า 1.8%

ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจโลกรวมทั้งเศรษฐกิจของประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เผชิญกับความท้าทายรอบด้านแต่ความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดนั้นมาจากการขึ้นภาษีศุลกากรของสหรัฐ อย่างในประเทศไทยเครื่องยนต์สำคัญของประเทศก็เริ่มเห็นการชะลอตัวในช่วงไตรมาสที่ 3 เนื่องจากสต็อกสินค้าที่เก็บไว้ในช่วงแรกของปีเริ่มหมดลง

ล่าสุดวันที่ 7 ต.ค. นายอาดิตยา แมตทู (Aaditya Mattoo) หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก ธนาคารโลก กล่าวในการงาน Press Briefing เกี่ยวกับรายงาน East Asia and Pacific Economic Update ฉบับเดือน ต.ค.  2025 ว่า ในช่วงสามทศวรรษที่ผ่านมาเศรษฐกิจเอเชียตะวันออกและเอเชียแปซิฟิกเติบโตอย่างสูง แต่การเติบโตกลับเริ่มเห็นทิศทางขาลง โดยการเติบโตในปีนี้คาดการว่าจะอยู่ที่ 4.8% และอยู่ที่เพียง 4.3% ในปีหน้า ซึ่งลดลงจาก 5.0% ในปีที่แล้ว

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากพิจารณาลึกลงมาที่ประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุด 5 ชาติในอาเซียน (ASEAN-5) ได้แก่ อินโดนีเซีย, มาเลเซีย, ฟิลิปปินส์, สิงคโปร์ และไทย การเติบโตคาดว่าจะอยู่ที่ 4.6% ในปีนี้และ 4.5% ในปีหน้า ซึ่งเป็นการเติบโตที่ต่ำกว่าในช่วงปี 2024 อย่างเห็นได้ชัด

สำหรับประเทศไทย การเติบโตของเศรษฐกิจ (จีดีพี) มีแนวโน้มเติบโต 2% ในปี 2025 และ 1.8% ในปีหน้า ซึ่งถือเป็นการปรับขึ้นประมาณการจากเดิมในรายงานเดือน ก.ค. มองว่าทั้งปีนี้จะโตได้เพียง 1.8% เท่านั้น อย่างไรก็ตาม ในรายงานยังระบุว่า ความไม่แน่นอนทางการเมืองอาจทำให้การใช้จ่ายของประชาชนและการลงทุนในภาพรวมชะลอตัวลง

ภาพรวมเศรษกิจโลก-เอเชียลดลง

ด้านนายอาดิตยา อธิบายสาเหตุของการเติบโตที่น้อยลงมาจากปัจจัยภายนอกสามอย่างได้แก่ ข้อจำกัดทางการค้าที่เพิ่มสูงขึ้น นโยบายการค้าโลกที่ไม่แน่นอน และภาพรวมเศรษฐกิจโลกที่เติบโตน้อยลง รวมทั้งปัจจัยภายในสองอย่างคือนโยบายเศรษฐกิจและการปรับโครงสร้างภายในประเทศ

 

ข้อจำกัดด้านการค้าที่เพิ่งขึ้น (Trade Restriction)

ในส่วนของข้อจำกัดด้านการค้าที่เพิ่มสูงขึ้น ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาเซียนพึ่งพาการส่งออกอย่างมากและการขึ้นภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐก็ทำให้การส่งออกของอาเซียนยากลำบากมากขึ้น

นอกจากนี้ภาษีสำหรับสินค้าสวมสิทธิ์จากจีนเพื่อส่งไปสหรัฐก็ยิ่งสร้างความไม่แน่นอนให้ภาคส่งออกมากขึ้นไปอีกเนื่องจากปัจจุบันสหรัฐยังไม่เปิดเผยรายละเอียดหลักเกณฑ์ในการพิจารณาลักษณะสินค้าดังกล่าว โดยภาษีของสหรัฐลด ประสิทธิภาพการจัดสรร (Allocative Efficiency) ในภูมิภาคดังกล่าวอย่างมาก โดยประสิทธิภาพการจัดสรร  คือสภาวะทางเศรษฐกิจที่ผลิตสินค้าและบริการในปริมาณที่ตรงกับความต้องการของสังคมมากที่สุด

ความไม่แน่นอนด้านการค้า (Trade Uncertainty)

สำหรับประเด็นเรื่องความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าโลกที่เพิ่มสูงขึ้น รายงานดังกล่าวพบว่า ความไม่แน่นอนนี้ส่งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อเม็ดเงินลงทุนและการจ้างงานในภาพรวมของภูมิภาคดังกล่าวอย่างมาก

ภาพรวมเศรษฐกิจโลกโตต่ำ

ขณะที่ประเด็นเรื่องภาพรวมการเติบโตของเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง นายอาดิตยา กล่าวว่าการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกนี้ล้วนส่งผลในเชิงลบต่อการเติบโตของภูมิภาคเอเชียตะวันออกและเอเชียแปซิฟิกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยมีการเปรียบเทียบว่าการเติบโตของ กลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ 7 ประเทศ (จี 7) ลดลง 1 เปอร์เซ็นต์พ้อยต์อาจกระทบเศรษฐกิจของภูมิภาคตะวันออกและเอเชียแปซิฟิกถึง -0.6%

การจ้างงานสูงแต่เด็กจบใหม่ตกงานเพียบ

มากไปกว่านั้น จากรายงาน East Asia and Pacific Economic Updateพบว่า ตัวเลขการจ้างงานของภูมิภาคยังอยู่ในระดับสูงโดยตัวเลขดังกล่าวของประเทศไทยอยู่สูงถึงกว่า 90% ของสัดส่วนแรงงานทั้งหมด แต่แรงงานที่มีอายุ 15-24 ปี ยังเผชิญกับความยากลำบากในการเข้าสู่ตลาดรแรงงาน นอกจากนี้แรงงานในกลุ่มประเทศดังกล่าวเป็นแรงงานที่มีประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจ (Productivity) น้อยซึ่งรัฐบาลของประเทศดังกล่าวจำเป็นต้องเร่งพัฒนาศักยภาพแรงงาน

จากรายงานพบว่า สำหรับประเทศไทย มีแรงงานที่มีโปรดักติวีตี้น้อยแต่กลับมีสัดส่วนการจ้างงานสูงถึง 60-70% ของแรงงานในวัยทำงานทั้งหมดและยังทำงานในกลุ่มที่ไม่ได้จดทะเบียนอย่างถูกต้องกับภาครัฐ (Informal Sector)

นายอาดิตยา กล่าวต่อถึงประเด็นเรื่องสัดส่วนชนชั้นกลางของกลุ่มประเทศดังกล่าวที่เพิ่มขึ้น แต่กลุ่มเปราะบางที่มีความเสี่ยงจะตกลงอยู่ต่ำกว่าเส้นความยากจนก็เพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน จากปัจจัยเรื่องการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง การเข้ามาของหุ่นยนต์และพลวัตรของบริษัทที่หายไป (lack of firm dynamism)