บริษัทเทคเตือน ผู้ถือวีซ่า H-1B เลี่ยงเดินทางต่างประเทศ

บริษัทเทคเตือน ผู้ถือวีซ่า H-1B เลี่ยงเดินทางต่างประเทศ

บริษัทเทคโนโลยีและอื่นๆ เร่งเตือนพนักงานผู้ถือวีซ่า H-1B งดเดินทางไปต่างประเทศ หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เรียกเก็บค่าธรรมเนียม 100,000 ดอลลาร์

KEY

POINTS

  • บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ เช่น ไมโครซอฟท์, อัลฟาเบท และแอมะซอน ออกคำเตือนให้พนักงานที่ถือวีซ่า H-1B หลีกเลี่ยงการเดินทางออกนอกประเทศ
  • สาเหตุเกิดจากความสับสนและความไม่แน่นอนหลังรัฐบาลทรัมป์ประกาศกฎระเบียบใหม่เกี่ยวกับวีซ่า แม้จะมีการชี้แจงภายหลังว่าไม่มีผลกระทบต่อผู้ถือวีซ่าปัจจุบันก็ตาม
  •  บริษัทต่างๆ ยังคงแนะนำให้พนักงานใช้ความระมัดระวัง เนื่องจากกังวลว่าจะเกิดปัญหาและความสับสนที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งส่งผลกระทบต่อแผนการเดินทางของพนักงานหลายคน

บริษัทเทคโนโลยีและอื่นๆ เร่งเตือนพนักงานผู้ถือวีซ่า H-1B งดเดินทางไปต่างประเทศ หลัง ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เรียกเก็บค่าธรรมเนียม 100,000 ดอลลาร์

สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงาน บริษัทไมโครซอฟท์, อัลฟาเบท, แอมะซอน และบริษัทเทคโนโลยีอื่นๆ ส่งข้อความไปยังพนักงานที่ได้รับผลกระทบให้กลับมาสหรัฐในวันเสาร์ (20 ก.ย.) และให้ยกเลิกแผนเดินทางออกนอกประเทศ หลังทำเนียบขาวประกาศเมื่อวันศุกร์ (19 ก.ย.) ว่าระเบียบใหม่จะมีผลบังคับใช้ในวันอาทิตย์ (21 ก.ย.)

เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวรายหนึ่งชี้แจงในวันเสาร์ว่า ค่าธรรมเนียมวีซ่ามีผลเฉพาะคนที่ขอใหม่เท่านั้น ไม่รวมการต่ออายุหรือคนที่มีวีซ่าอยู่แล้ว โดยจะนำไปใช้ในการสุ่มอนุมัติในรอบต่อไป

ต่อมาช่วงบ่ายวันเดียวกัน บัญชี X ของทำเนียบขาวโพสต์ข้อความว่า คำประกาศของทรัมป์ไม่มีผลกับ ผู้ถือวีซ่าH-1B ปัจจุบัน

“คำประกาศดังกล่าวไม่มีผลกระทบต่อความสามารถในการเดินทางเข้า/ออกจากสหรัฐอเมริกาของผู้ถือวีซ่าปัจจุบัน”

กระนั้น ยังมีความไม่แน่นอนเกรงว่าอาจมีการเปลี่ยนแปลง จนกลายเป็นความสับสนต่อบริษัทสหรัฐทุกภาคส่วน บริษัทและทนายความด้านการเข้าเมืองต้องเร่งเตือนผู้ถือวีซ่าให้ระมัดระวัง

บริษัทเทคฯ วุ่น

ไมโครซอฟท์ แจ้งคำแนะนำเพิ่มเติมแก่พนักงานว่า คำชี้แจงของทำเนียบขาว “น่าจะทำให้มั่นใจได้ว่าพนักงานของเราที่กำลังเดินทางไปต่างประเทศเพื่อร่วมงานสำคัญในชีวิตจะสามารถเดินทางกลับสหรัฐอเมริกาได้” และสำหรับผู้ที่มีแผนการเดินทางในอนาคตยังสามารถเดินทางต่อได้ ไมโครซอฟท์กล่าวเสริมว่ายังคงมีความเป็นไปได้ที่จะเกิด “ความสับสนที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองในอีกไม่กี่วันข้างหน้า”

ทั้งนี้ ไมโครซอฟท์ปฏิเสธให้ความเห็นต่อระเบียบใหม่

ผู้ถือวีซ่าหลายคนกล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงนี้สร้างความปั่นป่วนและน่าหงุดหงิด ลอว์เรนซ์ วัย 34 ปี เตรียมออกจากสหราชอาณาจักรมาซานฟรานซิสโกในวันจันทร์ (22 ก.ย.) เพิ่มเริ่มงานใหม่ในภาควิศวกรรม ในเวลาที่คำสั่งฝ่ายบริหารได้รับการลงนาม เขาก็เก็บของทุกอย่างหมดแล้ว รวมทั้งขายรถปล่อยบ้านให้เช่าและกล่าวคำอำลาคนที่รักทุกคนในสหราชอาณาจักร

ลอว์เรนซ์ ผู้ไม่เปิดเผยนามสกุลและบริษัทเกรงว่าจะถูกเล่นงาน ได้รับคำแนะนำจากทนายด้านการเข้าเมืองของบริษัทให้อยู่ในสหราชอาณาจักรต่อไปจนกว่าจะได้ข้อมูลเพิ่มเติม

ด้านพนักงานกูเกิลรายหนึ่งผู้ไม่เปิดเผยตัวตน ยกเลิกทริปไปเยี่ยมครอบครัวที่โตเกียวเพราะคำประกาศของทำเนียบขาว

แอมะซอนเองก็เตือนผู้ถือวีซ่า H-4 ที่ออกให้คู่สมรสหรือผู้ที่อยู่ในความดูแลของผู้ถือวีซ่า H-1B ให้อยู่ในสหรัฐเช่นกัน

ภาคส่วนเทคโนโลยีใช้โครงการวีซ่า H-1B มาก เพื่อนำแรงงานมีทักษะมาจากต่างประเทศ บริษัทการเงินและบริษัทที่ปรึกษาก็ใช้มากเช่นกัน

บริษัทที่มีจำนวนผู้ถือวีซ่าชนิดนี้สูง ได้แก่ แอมะซอน, บริษัทที่ปรึกษาทาทา, ไมโครซอฟท์, เมตา แพลตฟอร์ม และแอปเปิ้ลอิงค์ ส่วนเจพีมอร์แกนเชสและวอลมาร์ทครองอันดับ 8 และ 9

แต่ละปีพนักงานต้องยื่นรายชื่อภายในเดือน มี.ค. เพื่อเข้ารับการสุ่มแจกวีซ่าภายในเดือน เม.ย. จำนวน 65,000 คนและอีก 20,000 คนสำหรับผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทจากสหรัฐอเมริกา ในปี 2025 มีผู้ยื่นคำร้องมากกว่า 470,000 รายผู้ที่ได้รับอนุมัติสามารถเริ่มงานได้ในวันที่ 1 ตุลาคม

ด้านบริษัทเอิร์นสต์แอนด์ยัง แจ้งผู้ถือวีซ่าของตนให้กลับสหรัฐในวันเสาร์

“เรายังคงแนะนำให้จำกัดการเดินทางระหว่างประเทศให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยไม่คำนึงถึงประเภทของวีซ่า” อีเมลแจ้งพนักงานระบุและว่าอาจมีการเปลี่ยนแปลงและข้อจำกัดในการเดินทางเพิ่มเติม

วอลมาร์ททำบันทึกแจ้งเตือนพนักงานในทำนองเดียวกัน โดยเสริมว่า บริษัทยังคง “พิจารณาการเปลี่ยนแปลงนโยบายวีซ่า H-1B ล่าสุด” และแบ่งปันข้อแนะนำ“ด้วยความระมัดระวังยิ่ง และว่า "จนกว่าสถานการณ์และเจตจำนงค์ของคำสั่งฝ่ายบริหารฉบับนี้ชัดเจน” ขอให้พนักงานผู้ถือวีซ่างดออกจากสหรัฐ

  • โกลาหลแน่นอน

ราเคล มิลสทีน ทนายความด้านการเข้าเมืองผู้ก่อตั้งบริษัทกฎหมายมิลสทีน คาดว่าจะเกิด “ความโกลาหลวุ่นวาย” อย่างมาก หลังได้คุยโทรศัพท์กับผู้ถือวีซ่าจากบริษัทเทคโนโลยี กลุ่มไม่แสวงหากำไร และบริษัทอื่นๆ ตลอดทั้งคืน

“เรามีลูกค้าที่เพิ่งได้ประทับตราวีซ่าจากสถานกงสุลในอินเดีย ตอนนี้พวกเขาต้องไปรับหนังสือเดินทางคืนในวันจันทร์ นี่หมายความว่าพวกเขากลับมาไม่ได้งั้นเหรอ?”

มิลสทีนคาดว่า นโยบายใหม่จะถูกฟ้องศาลทันทีและเป็นไปได้ที่ศาลจะสั่งห้ามอย่างรวดเร็ว

ด้านผู้ถือวีซ่าตอนนี้ก็วุ่นวายกับการเปลี่ยนแปลงอย่างหนัก

เอริกา แอล ผู้มาจากประเทศเอเชีย ตอนนี้ทำงานในภาคการเงินย่านมหานครนิวยอร์ก ระบุ

“ตอนนี้ฉันรู้สึกเคว้งคว้างหน่อยๆ ไม่แน่ใจว่านโยบายนี้จะใช้กับคนที่มีวีซ่าอยู่แล้วด้วยหรือไม่”

“ถ้าไม่เป็นอย่างที่คาด ฉันก็แค่บอกเพื่อนๆ ว่า โอเคนะ ฉันอาจย้ายไปทำงานที่ยุโรปเอเชีย ฉันอยู่ที่นี่มาเกือบ 10 ปี ก็เลยรู้สึกว่ามันยากที่จู่ๆ จะให้ฉันออกนอกประเทศไป ฉันไม่ได้เตรียมใจทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยรู้จักมาถึง 10 ปี”

รัฐบาลทรัมป์มองว่าการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อสนับสนุนการยื่นขอวีซ่าจริงและหยุดยั้งการใช้วีซ่าในทางที่ผิด แต่บริษัทต่างกังวลว่าค่าใช้จ่าย 100,000 ดอลลาร์สหรัฐจะสูงเกินไปสำหรับการจ้างแรงงานที่จำเป็นต่อไป

ตอนที่กล่าวกับผู้สื่อข่าวเมื่อวันศุกร์ ทรัมป์เมินเฉยกับคำถามที่ว่า ผู้บริหารบริษัทเทคโนโลยีจะกังวลหรือไม่

“ผมคิดว่าพวกเขาจะมีความสุขมาก ทุกคนจะมีความสุข และเราจะสามารถรักษาคนที่มีผลงานเยี่ยมยอดไว้ในประเทศของเราได้ และในหลายกรณีบริษัทเหล่านี้จะจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อรักษาคนไว้และพวกเขาเต็มใจจะทำแบบนั้น”