ผลสำรวจชี้ บริษัทสหรัฐเกือบครึ่งในจีน ต้องการ 'ยกเลิกภาษีทรัมป์'

ผลสำรวจชี้ บริษัทสหรัฐเกือบครึ่งในจีน ต้องการ 'ยกเลิกภาษีทรัมป์'

หอการค้าอเมริกันเผยผลสำรวจชี้ ‘เกือบครึ่งของบริษัทอเมริกัน’ ต้องการให้รัฐบาลทรัมป์ยกเลิกภาษีต่อสินค้าจีน ชี้บั่นทอนรายได้และการลงทุน พร้อมเสริมว่าพักรบการค้า 90 วันนั้น ‘สั้นเกินไป’ ต่อการวางแผนธุรกิจ

เว็บไซต์นิกเกอิ เอเชียรายงานว่า “เกือบครึ่งหนึ่ง” ของบริษัทสหรัฐที่ถูกสำรวจโดยหอการค้าอเมริกันในนครเซี่ยงไฮ้ ต้องการให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ “ยกเลิกภาษีศุลกากรทั้งหมด” ที่เก็บจากสินค้าจีน

จากรายงานสำรวจธุรกิจจีนประจำปีฉบับล่าสุดของหอการค้า ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันพุธ ระบุว่า 48% ของผู้ตอบแบบสอบถามจำนวน 254 ราย เรียกร้องให้มีการยกเลิกทั้งภาษีศุลกากรและมาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษีต่อสินค้าจีน โดยการสำรวจนี้จัดทำขึ้นระหว่างวันที่ 19 พฤษภาคม ถึง 20 มิถุนายน

แม้สหรับกับจีนจะมีการพักรบชั่วคราว แต่ภาษีนำเข้าของสหรัฐต่อสินค้าจีนก็ยังคงสูงกว่าต้นปีถึง 30% ส่งผลให้การค้าระหว่างสองประเทศชะลอตัวลง โดยการส่งออกสินค้าของจีนไปยังสหรัฐในเดือนสิงหาคม ลดลง 33.1% เมื่อเทียบกับปีก่อน ขณะที่การนำเข้าสินค้าจากสหรัฐไปจีนก็ลดลง 16%

รายงานของหอการค้าอเมริกันยังระบุว่า “ความผันผวนของความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสองประเทศ ได้สร้างความไม่แน่นอนอย่างมหาศาลให้กับบริษัทต่างชาติที่ดำเนินธุรกิจในจีน ครอบคลุมหลากหลายอุตสาหกรรม ไม่ได้จำกัดเฉพาะบริษัทที่ส่งออกกลับไปยังตลาดสหรัฐเท่านั้น”

เกือบสองในสามของสมาชิกหอการค้าคาดว่า ความตึงเครียดเรื่องภาษีจะส่งผลกระทบด้านลบต่อรายได้ในจีน โดยเฉพาะบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ โลจิสติกส์ และการผลิตเชิงอุตสาหกรรม ซึ่งมีสัดส่วนได้รับผลกระทบมากที่สุด 

ขณะเดียวกัน อีริก เจิ้ง ประธานหอการค้าอเมริกันในเซี่ยงไฮ้กล่าวว่า บางบริษัทได้รับผลกระทบ “ทั้งสองทาง” เนื่องจากต้องนำเข้าชิ้นส่วนกึ่งสำเร็จรูปจากสหรัฐเข้ามาในจีน ก่อนจะส่งออกสินค้าแปรรูปขั้นสุดท้ายกลับไปยังอเมริกาอีกครั้ง

เขาเสริมว่า “ถ้าคุณบริหารบริษัท ช่วงเวลา 90 วันมันสั้นเกินไปที่จะใช้วางแผนธุรกิจ” โดยอ้างถึงระยะเวลาการพักรบทางการค้า

นอกจากนี้ ยังมีบางบริษัทที่ “ตกเป็นเป้าโดยตรง” เช่น จีนได้เปิดการสอบสวนการผูกขาดต่อดูปองท์ บริษัทเคมีภัณฑ์สัญชาติอเมริกัน ไม่นานหลังจากที่ทรัมป์ประกาศเก็บภาษีตอบโต้ แต่การสอบสวนถูกระงับไปในเดือนกรกฎาคม ก่อนที่ผู้แทนการค้าของทั้งสองฝ่ายจะพบกัน โดยไม่ได้มีการชี้แจงเหตุผลของการระงับ

ผู้ตอบแบบสอบถามยังเห็นตรงกันว่า “ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์” ยังคงเป็นความท้าทายใหญ่ที่สุดต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีน รองลงมาคือปัญหาการลดลงของประชากร และความอ่อนแอในตลาดอสังหาริมทรัพย์

นอกจากนี้ การแข่งขันที่รุนแรงขึ้นกับบริษัทจีน ก็ได้กลายเป็นอีกหนึ่งความกังวลสำคัญ โดยมีเพียงสองด้านเท่านั้นที่ผู้ตอบแบบสอบถามจำนวนมากมองว่า คู่แข่งท้องถิ่นยังตามหลังอยู่ ได้แก่ คุณภาพสินค้า และการพัฒนา 

ขณะที่ในด้านอื่น ๆ อย่างการขายและการตลาด กลยุทธ์ดิจิทัล และความรวดเร็วในการนำสินค้าออกสู่ตลาด ผู้ตอบแบบสอบถามจำนวนมากกลับรู้สึกว่าตนเองเป็นฝ่ายตามหลัง

เจฟฟรีย์ เลห์แมน ประธานหอการค้าอเมริกันประจำเซี่ยงไฮ้กล่าวว่า “แม้สมาชิกจะสังเกตเห็นความพยายามของรัฐบาลจีนในการปรับปรุงสภาพแวดล้อมด้านกฎระเบียบ แต่สิ่งเหล่านี้ยังถูกบดบังด้วยความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีน เราขอเรียกร้องให้ทั้งสองรัฐบาลร่วมกันสร้างกรอบที่มั่นคงและโปร่งใส เพื่อเอื้อต่อการค้าและการลงทุนข้ามพรมแดน”

อ้างอิง: nikkei