จีนก็ไม่ซื้อ ญี่ปุ่นก็ยอดตก ยอดขายแบรนด์หรู LVMH ดิ่งพลาดเป้า

ธุรกิจสินค้าแบรนด์เนมหรูยังไม่ฟื้น ยอดขายของ LVMH ลดลงเกินคาดหลังลูกค้าคุมรายจ่ายช้อปกระเป๋า Louis Vuitton และแจ็กเก็ต Dior ราคาแพง นับเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่ายักษ์ใหญ่แห่งวงการแฟชั่นยังคงเผชิญกับภาวะตกต่ำหลังการระบาดของโควิด

บริษัท LVMH Moët Hennessy Louis Vuitton SE (LVMH) อาณาจักรสินค้าแบรนด์หรูจากฝรั่งเศสของมหาเศรษฐี "เบอร์นาร์ด อาร์โนลต์" เปิดเผยรายได้ของกลุ่มธุรกิจแฟชั่น และเครื่องหนัง ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดของ LVMH ปรับตัวลดลง 9% ในไตรมาสที่สอง ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะลดลง 7.8%
 

บลูมเบิร์กระบุว่า กลุ่ม LVMH กำลังเผชิญปัญหาดีมานด์สินค้าหรูที่ลดลงโดยเฉพาะในประเทศ "จีน" ซึ่งเป็นตลาดหลักที่ช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจมาตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา และทำให้ในเดือนเม.ย. ปีนี้ LVMH ต้องสูญเสียตำแหน่งบริษัทที่มีมูลค่าสูงสุดของฝรั่งเศสให้กับ Hermès International SCA ที่เบอร์นาร์ด อาร์โนลต์ เคยพยายามเข้าซื้อกิจการ

ผลประกอบการของ LVMH ยังตามหลังคู่แข่งรายที่เล็กกว่า เช่น Brunello Cucinelli SpA ผู้ผลิตเสื้อผ้าแคชเมียร์ราคาแพงจากอิตาลี ซึ่งรายงานยอดขายที่เพิ่มขึ้นในเดือนนี้

ในภาพรวมนั้น ยอดขายทั้งหมดของเครือ LVMH ในไตรมาสสองสิ้นสุดเดือนมิ.ย. 2568 ปรับตัวลดลง 4% อยู่ที่ 1.95 หมื่นล้านยูโร หรือลดลงมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์เอาไว้ว่าจะลดลงประมาณ 3%

"Christian Dior" แบรนด์แฟชั่นรายใหญ่อันดับสองของเครือรองจากแบรนด์ "Louis Vuitton" กำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านด้านความคิดสร้างสรรค์ หลังจากที่เพิ่งแต่งตั้ง Jonathan Anderson เป็นผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์ ซึ่งเขาจะนำเสนอคอลเลกชันเสื้อผ้าสตรีชุดแรกในฤดูใบไม้ร่วงนี้

ตลอดช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้นของ LVMH ดิ่งลงไปแล้วมากถึงราว 30% ส่งผลให้มูลค่าตลาดลดลงไปเกือบ 1 แสนล้านยูโร (1.18 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ) ส่วนใบรับฝากหลักทรัพย์ของสหรัฐลดลง 3.3% ในการซื้อขาย ณ เวลา 14:20 น. ตามเวลานิวยอร์กวันพฤหัสฯ

"ผลการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจแฟชั่น และเครื่องหนัง มีแนวโน้มที่จะทำให้เกิดคำถามเชิงลบเพิ่มเติมเกี่ยวกับสถานะของพอร์ตสินค้าลักชัวรี” พิราล ดาทาเนีย นักวิเคราะห์จาก RBC Capital Markets ระบุ

ยอดขายร่วงหนักใน 'ญี่ปุ่น' และ 'จีน'

กำไรจากการดำเนินงานประจำในช่วงครึ่งปีแรกอยู่ที่ 9 พันล้านยูโร ลดลง 15% จากปีก่อนหน้า แต่สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 8.8 พันล้านยูโรเล็กน้อย

ยอดขายในประเทศ "ญี่ปุ่น" ปรับตัวลดลง 28% ในไตรมาสที่แล้ว หลังจากเคยเพิ่มขึ้นถึง 57% ในช่วงเวลาเดียวกันของปี 2024 ซึ่งเป็นช่วงที่ "นักท่องเที่ยวชาวจีน" นิยมจับจ่ายซื้อของในญี่ปุ่นช่วงที่ค่าเงินเยนอ่อนค่าลง ส่วนยอดขายใน "ยุโรป" และเอเชียซึ่งรวมถึง "จีน" ก็ลดลงเช่นกัน

ส่วนยอดขายในตลาดสหรัฐค่อนข้างทรงตัวในไตรมาสที่สอง โดยดีขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาสแรกจากยอดขาย "แชมเปญ" ที่ดีขึ้น และความยืดหยุ่นของธุรกิจแฟชั่นและเครื่องหนังในตลาดดังกล่าว

นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ยังคงมองว่า ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำที่ยาวนานของอุตสาหกรรมสินค้าลักชัวรีมีลักษณะเป็นวัฏจักร ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำที่ยาวนานในจีน ภาวะเงินเฟ้อ และความตึงเครียดทางการค้าที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข

ก่อนหน้านี้ในเดือนเม.ย. เคยมีกระแสไวรัลในติ๊กต็อกจีนจากบรรดาอินฟลูเอนเซอร์จีนที่อ้างว่า กระเป๋าแบรนด์เนมหรูมากกว่า 80% ล้วนผลิตในจีน แม้ว่าบริษัทต่างๆ จะติดฉลากสินค้าว่าผลิตในฝรั่งเศส และอิตาลี ก็ตาม และนำไปตั้งราคากันแพงหูฉี่ทั้งที่มีต้นทุนราคาถูกกว่านั้นมาก ทำให้เกิดกระแสเชิงลบตั้งคำถามต่อการซื้อสินค้าแบรนด์เนมราคาแพงในจีน  

อย่างไรก็ตาม เซซิล คาบานิส ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน (ซีเอฟโอ) ของ LVMH ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ว่า ในจีนซึ่งวิกฤติอสังหาริมทรัพย์ทำให้ความต้องการสินค้าฟุ่มเฟือยลดลง กลับมีการพัฒนาที่เป็นรูปธรรมดีขึ้น โดยความสำเร็จที่ร้านใหม่ของ "หลุยส์ วิตตอง" ในเซี่ยงไฮ้ ซึ่งเป็นเรือธงขนาดใหญ่ แสดงให้เห็นว่าแบรนด์ยังคงมีอิทธิพลในการดึงดูดความสนใจจากทั่วโลก

หวังยุโรปได้ดีลภาษี 15% เล็งเปิดโรงงานเพิ่มในเท็กซัส

เมื่อพูดถึงปัจจัยเรื่อง "ภาษีศุลกากรสหรัฐ" กับการเจรจาการค้าระหว่างสหภาพยุโรป (อียู) และสหรัฐ คาบานิส กล่าวว่า สถานการณ์ภาษีศุลกากร 15% จะเป็น "ผลลัพธ์ที่ดี" เพราะแบรนด์ในเครือ LVMH บางแบรนด์ นอกเหนือจากไวน์ และสุราบางชนิด เช่น คอนญักเฮนเนสซี ยังคงมีอำนาจในการกำหนดราคา

"ดูเหมือนว่าเราจะใกล้บรรลุข้อตกลงเรื่องภาษีศุลกากรแล้ว ซึ่งน่าจะช่วยลดแรงกดดันต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและเศรษฐกิจโดยรวม" ซีเอฟโอของ LVMH กล่าว 

ขณะที่เบอร์นาร์ด อาร์โนลต์ ซีอีโอของ LVMH เปิดเผยกับเดอะวอลล์สตรีทเจอร์นัล (WSJ) เมื่อวันพฤหัสฯ ว่า เขาวางแผนที่จะ "เปิดโรงงานแห่งที่สองในรัฐเท็กซัส" และคาดว่าจะได้รับผลลัพธ์ที่ดีในเร็วๆ นี้จากการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐ และยุโรป

ทั้งนี้ อาร์โนลต์ได้ล็อบบีผู้นำสหภาพยุโรปอย่างหนักเพื่อผ่อนคลายความตึงเครียดกับรัฐบาลทรัมป์

"ผมกำลังผลักดันอย่างเต็มที่เพื่อให้เราบรรลุข้อตกลงกับฝ่ายอเมริกัน" อาร์โนลต์ กล่าวกับ WSJ ซึ่งเขาได้ประกาศแผนการสร้างโรงงานแห่งใหม่ในเท็กซัสภายในปี 2027

ก่อนหน้านี้ อาร์โนลต์เปิดโรงงาน Louis Vuitton ในรัฐเท็กซัส ขึ้นในปี 2019 ในช่วงที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งสมัยแรก ซึ่งถูกมองว่าช่วยให้กลุ่มบริษัทหลีกเลี่ยงภาษีศุลกากรสำหรับสินค้าฟุ่มเฟือยในช่วงทรัมป์วาระแรกได้ อย่างไรก็ดี สำนักข่าวรอยเตอร์เคยรายงานเอาไว้ในเดือนเม.ย. ว่า โรงงานดังกล่าวประสบปัญหาการดำเนินงานหลายประการ เช่น คุณภาพงานจากช่างฝีมือในสหรัฐ

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์