หนีสหรัฐมาคบ 'ยุโรป' ก็ไม่ง่าย อียูย้ำ 'จีน' ต้องแก้การค้าไม่สมดุล

หนีสหรัฐมาคบ 'ยุโรป' ก็ไม่ง่าย อียูย้ำ 'จีน' ต้องแก้การค้าไม่สมดุล

'สี จิ้นผิง' ประชุมสุดยอดทวิภาคี 'จีน-อียู' วันนี้ แต่การเบนเข็มจากสหรัฐมายุโรปก็ไม่ง่าย เมื่อบรัสเซลส์ยื่นเงื่อนไขจีน ต้องแก้ปัญหาการค้าที่ไม่สมดุล ขณะนักวิเคราะห์ชี้ลดการประชุมจาก 2 วัน เหลือแค่ 1 วัน สะท้อนความตึงเครียดสองฝ่าย

ในขณะที่ขณะที่ประธานาธิบดี "สี จิ้นผิง" ของจีนให้คำมั่นว่าจะกระชับความสัมพันธ์กับ "สหภาพยุโรป" (อียู) ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ท่ามกลางสงครามการค้าที่ "สหรัฐ" กำลังไล่บี้ภาษีศุลกากรทั่วโลก แต่ในการประชุมสุดยอดสหภาพยุโรป-จีน ครั้งที่ 25 ที่กรุงปักกิ่งในวันนี้ (24 ก.ค.) ฝั่งยุโรปก็ได้ตอกย้ำความกังวลเรื่องความไม่สมดุลทางการค้าที่ทวีความรุนแรงขึ้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความตึงเครียดที่แฝงอยู่ภายใต้บรรยากาศการทูตที่เป็นมิตร

ปธน.สี กล่าวถึงความสัมพันธ์ทวิภาคีกับยุโรปว่า "เป็นประโยชน์ร่วมกัน" และยิ่งมีความสำคัญมากขึ้น ในภาวะที่ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ทวีความรุนแรง

"ยิ่งสถานการณ์โลกมีความรุนแรงและซับซ้อนมากเท่าใด จีนและอียูก็ยิ่งควรต้องเสริมสร้างการสื่อสาร ความไว้วางใจ และความร่วมมือระหว่างกันให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น" CNBC รายงานอ้างคำกล่าวของผู้นำจีน

หนีสหรัฐมาคบ 'ยุโรป' ก็ไม่ง่าย อียูย้ำ 'จีน' ต้องแก้การค้าไม่สมดุล

อย่างไรก็ตาม ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป (EC) "เออร์ซูลา ฟอน แดร์ ไลเอิน" ได้แสดงท่าทีที่หนักแน่นกว่านั้นด้วยการเรียกร้องให้จีนจัดการแก้ไขปัญหา "ความไม่สมดุลทางการค้า" ที่เพิ่มสูงขึ้นระหว่างจีนกับอียู 

"เรามาถึงจุดเปลี่ยนแล้ว และการปรับสมดุลความสัมพันธ์ทวิภาคีก็เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง" ประธานอีซีกล่าวพร้อมเน้นย้ำว่า ทั้งสองฝ่ายจำเป็นต้องรับฟังข้อกังวลของแต่ละฝ่าย และร่วมกันหาทางออกอย่างเป็นรูปธรรม

หนีสหรัฐมาคบ 'ยุโรป' ก็ไม่ง่าย อียูย้ำ 'จีน' ต้องแก้การค้าไม่สมดุล

แค่ครึ่งปีแรก จีนเกินดุลการค้าอียูพุ่ง 21% 

ความตึงเครียดทางการค้าทั่วโลกกลายเป็นประเด็นสำคัญในปีนี้ โดยความสัมพันธ์ระหว่างอียูและจีนตึงเครียดจากการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมส่วนเกินของปักกิ่ง ท่ามกลางอุปสงค์ภายในประเทศของจีนที่อ่อนแรงลง

จากข้อมูลของทางการพบว่า เฉพาะแค่ช่วงครึ่งแรกของปี 2568 นี้ จีนเกินดุลการค้ากับอียูไปแล้วเกือบ 1.43 แสนล้านดอลลาร์ (ราว 4.6 ล้านล้านบาท) หรือเพิ่มขึ้นถึง 21% จากปีก่อนหน้า 

อียูซึ่งเป็นคู่ค้ารายใหญ่อันดับ 2 ของจีน ได้ขึ้นภาษี "รถยนต์ไฟฟ้า" กับจีนเมื่อปีที่แล้วเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศ ส่งผลให้ปักกิ่งตอบโต้ด้วยการเปิดฉากสอบสวนการทุ่มตลาดสินค้า "บรั่นดี ผลิตภัณฑ์นม และเนื้อหมู" จากยุโรป

“สิ่งที่เราเห็นคือการย้ำจุดยืนของทั้งสองฝ่าย” แดเนียล บาลาซ นักวิจัยจากวิทยาลัยการศึกษาระหว่างประเทศ S. Rajaratnam กล่าวพร้อมเน้นย้ำถึงความแตกต่างที่แฝงอยู่ในวัตถุประสงค์ของทั้งสองฝ่าย

ฝั่งสหภาพยุโรปต้องการ "ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่สมดุลมากขึ้น และให้จีนดำเนินการมากขึ้นในการนำ "รัสเซีย" เข้าสู่โต๊ะเจรจาสันติภาพกับยูเครน แต่ปักกิ่งพยายามที่จะยกเลิกข้อจำกัดของสหภาพยุโรปที่มีต่อบริษัทจีนและภาษีรถยนต์ไฟฟ้า

นอกจากปัญหาการค้าที่ไม่สมดุลแล้ว ความขัดแย้งกันเรื่องข้อจำกัดในการทำธุรกิจในตลาดต่างๆ และจุดยืนของจีนเกี่ยวกับสงครามยูเครน ยังเป็นปัจจัยที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างปักกิ่งและบรัสเซลส์ซับซ้อนยิ่งขึ้น

หนีสหรัฐมาคบ 'ยุโรป' ก็ไม่ง่าย อียูย้ำ 'จีน' ต้องแก้การค้าไม่สมดุล

ปม ‘แร่หายาก’ สร้างรอยร้าวจีน-อียู

เมื่อต้นเดือนก.ค. ที่ผ่านมา กระทรวงการคลังของจีนได้ออกมาตรการกับหน่วยงานรัฐบาลจีน จำกัดการจัดซื้อจัดจ้างอุปกรณ์การแพทย์จากบริษัทในยุโรป หลังจากที่บรัสเซลส์มีคำสั่งห้ามบริษัทจีนเข้าร่วมการประมูลอุปกรณ์การแพทย์สาธารณะของสหภาพยุโรป

นอกจากนี้ อุตสาหกรรมในยุโรปก็ได้รับผลกระทบจากมาตรการควบคุมการส่งออก "แร่หายาก" (Rare earth) ทั่วโลกของจีน ซึ่งส่งผลให้ผู้ผลิตรถยนต์ในยุโรปหลายรายต้องหยุดการผลิตชั่วคราว ก่อนที่ในภายหลังจะมีการตกลงกันได้ ทำให้จีนผ่อนคลายมาตรการดังกล่าวตามมา โดยดำเนินมาตรการเร่งรัดการออกใบอนุญาตส่งออกแร่หายากให้กับธุรกิจในยุโรปโดยเฉพาะ

บริษัทที่ปรึกษา Eurasia Group มองว่าแม้จะมีการผ่อนคลาย แต่การใช้ "แร่หายาก" มาเป็นอาวุธต่อรอง "ได้ทิ้งรอยร้าวลึกไว้กับยุโรป" โดยบรัสเซลส์รู้สึกผิดหวังกับการกระทำของปักกิ่ง และอาจพยายามเร่งลดความเสี่ยงของสหภาพยุโรปจากจีน

ทั้งนี้ การประชุมสุดยอดสหภาพยุโรป-จีน ครั้งที่ 25 เดิมมีกำหนดจัดขึ้นที่กรุงบรัสเซลส์ แต่ได้ย้ายไปจัดที่กรุงปักกิ่งแทน และย่อเวลาการประชุมลงจาก 2 วันเหลือเพียงหนึ่งวัน ทำให้ถูกมองว่าเป็นอีกหนึ่งสัญญาณของความสัมพันธ์ที่เปราะบางระหว่างสหภาพยุโรปและจีน โดยูเรเซีย กรุ๊ป ระบุว่า การลดเวลาประชุมสุดยอดดังกล่าวลงเหลือเพียง 1 วัน เป็นผลมาจาก "จุดยืนที่แข็งกร้าวขึ้นและความคาดหวังที่ไม่ตรงกัน" ของทั้งสองฝ่าย

ที่มา: CNBC