‘ทรัมป์’ โวผลงาน กลบความนิยมลด ชี้ 'ชายแดนเข้มแข็ง-ค่าครองชีพถูกลง'

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กล่าวสุนทรพจน์ โวผลงานรัฐบาลแม้ยังมีอายุไม่ถึง 1 ปี หลังมีรายงานความนิยมลดลง โดยกล่าวโทษผู้อพยพสร้างปัญหา ชี้ชายแดนเข้มแข็งขึ้น ย้ำค่าครองชีพถูกลง
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กล่าวสุนทรพจน์ รายงานผลงานรัฐบาลต่อประชาชนที่ทำเนียบขาวในวันพุธ (15 ธ.ค.) เน้นย้ำความสำเร็จรัฐบาล กล่าวโจมตีผู้อพยพ และวิพากษ์วิจารณ์อดีตประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครตคนก่อนที่ทิ้งความปั่นป่วนไว้
แม้ปกติแล้วประธานาธิบดีสหรัฐจะสงวนการกล่าวสุนทรพจน์ต่อประชาชนที่ทำเนียบขาวไว้ประกาศข่าวสำคัญเท่านั้น แต่ทรัมป์ใช้การกล่าวสนุทรพจน์ 19 นาทีในวันพุธ เพื่อโปรโมตเรื่องเล่าของเขาเกี่ยวกับประเทศที่ดำเนินการต่างๆ ได้ดี ในขณะที่คะแนนนิยมของเขาลดลง
“ชาติของเราแข็งแกร่ง อเมริกาได้รับการเคารพ และประเทศของเรากลับมาแข็งแกร่งมากขึ้นกว่าที่เคยเป็น พวกเราพร้อมรับความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในโลก” ทรัมป์กล่าว
โทษต่างด้าวแย่งงาน โวชายแดนแข็งแกร่งขึ้น
ทรัมป์กล่าวโทษผู้อพยพและกล่าวหาว่าพวกเขาเป็นปัญหาของประเทศ รวมถึงวิกฤติอสังหาริมทรัพย์ ขณะที่ภรรยาคนแรกและคนปัจจุบันของทรัมป์เองต่างเป็นผู้อพยพที่ย้ายมาจากแถบยุโรปตะวันออก
“ชาวต่างด้าวผิดกฎหมายแย่งงานชาวอเมริกัน และทำให้ห้องฉุกเฉินล้น ทั้งยังได้รับการดูแลสุขภาพและการศึกษาฟรีจากเงินพวกคุณ ภาษีของชาวอเมริกัน” ทรัมป์กล่าว
อย่างไรก็ตาม อัลจาซีรารายงานว่า ผลการศึกษาจำนวนมากพบว่าผู้อพยพมีส่วนช่วยสร้างเศรษฐกิจมากกว่าได้รับ ทั้งยังขับเคลื่อนอุตสาหกรรมสำคัญ รวมถึงภาคการเกษตรที่ผลิตอาหารเลี้ยงประเทศ และภาคการก่อสร้างที่สร้างบ้านใหม่ๆ
ผลวิเคราะห์ในปี 2023 ของสภาผู้อพยพอเมริกัน แสดงให้เห็นว่า ผู้อพยพจ่ายภาษีมากว่า 6.51 แสนล้านดอลลาร์ต่อปี และสร้างกิจกรรมทางเศรษฐกิจ 1.7 ล้านล้านดอลลาร์
นอกจากนี้ ปธน.สหรัฐ ผู้เรียกชุมชนโซมาเลียว่าขยะ ยังได้กล่าวอ้างอย่างผิดๆ ว่า ชาวโซมาเลียยึดครองเศรษฐกิจของรัฐมินนิโซตา และขโมยเงินหลายพันล้านดอลลาร์
จากนั้นย้ำถึงผลงานการสกัดผู้อพยพที่ไม่ได้รับอนุญาติผ่านแดนที่ชายแดนทางใต้
“เรารับช่วงต่อปัญหาชายแดนที่แย่ที่สุดในโลก แต่เราเปลี่ยนมันให้กลายเป็นชายแดนที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศ ในอีกนัยหนึ่ง เราก้าวจากแย่สุดไปดีสุด ภายในเวลาไม่กี่เดือน”
ค่าครองชีพถูกลง? โทษรัฐบาลก่อนหน้า
ปธน.สหรัฐโต้แย้งว่า ค่าครองชีพลดลงท่ามกลางความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับความสามารถในการใช้จ่าย พร้อมเน้นย้ำว่าสินค้าอุปโภคบริโภคพื้นฐานราคาแพงในสมัยอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน ท่ามกลางการแพร่ระบาดโควิด-19 และอ้างข้อมูลที่ยังมีข้อสงสัย โดยบอกว่าราคาสินค้าลดลงในสมัยของตน
“ราคาไข่ลดลง 82% นับตั้งแต่เดือน มี.ค. และทุกอย่างก็ลดลงอย่างรวดเร็ว และยังไม่จบแค่นี้ เราก้าวหน้าไปได้ดีเลยทีเดียว ไม่มีใครเชื่อเลยว่าเกิดอะไรขึ้น” ทรัมป์กล่าว
ทั้งนี้ ราคาไข่ไก่พุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ในเดือน ก.พ. ในช่วงที่ทรัมป์เพิ่งรับตำแหน่ง เนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดนก
ทรัมป์บอกด้วยว่าราคาไก่งวงลดลง 33% จากปีที่แล้ว แต่แหล่งที่มาของตัวเลขนั้นไม่ชัดเจน เขายังกล่าวอีกว่าราคาน้ำมันเบนซินอยู่ที่ 2.50 ดอลลาร์ต่อแกลลอนในหลายพื้นที่ของประเทศ และบางรัฐแค่ 1.99 ดอลลาร์
อย่างไรก็ตาม ราคาเฉลี่ยน้ำมันเบนซินทั่วประเทศของ AAA อยู่ที่ 2.90 ดอลลาร์ ในวันพุธ และราคาเฉลี่ยรายเดือนในเดือน พ.ย. อยู่ที่ 3 ดอลลาร์ ซึ่งยังคงใกล้เคียงกับราคาเมื่อปีที่แล้ว
คอมเบอร์ลี ฮัลเคตต์ นักข่าวอัลจาซีราในวอชิงตันย้ำว่า เรื่องความสามารถในการใช้จ่ายยังคงเป็นความกังวลหลักทางเศรษฐกิจสำหรับประชาชนสหรัฐ โดยบอกว่าการซื้อของชำ อาหาร หรือการออกไปรับประทานอาหารข้างนอก ยังคงมีค่าใช้จ่ายสูงสำหรับคนอเมริกัน และมีความเกี่ยวข้องกับภาษีของปธน.อย่างมาก
ขณะที่ทรัมป์วาดภาพเศรษฐกิจว่าโรยด้วยกลีบกุหลาบ เขาก็ชี้ว่า หากยังมีปัญหาอะไรเกิดขึ้น นั่นเป็นเพราะความผิดพลาดของไบเดน พร้อมย้ำว่าตนได้รับความปั่นป่วนมาจากรัฐบาลก่อน
เน้นเรื่องภายใน เลี่ยงเรื่องภายนอก
สุนทรพจน์รอบนี้ ทรัมป์เน้นพูดเรื่องภายในประเทศ ส่วนนโยบายต่างประเทศพูดเพียงผิวเผิน และกล่าวอ้างอย่างไม่มีมูลความจริงว่า การหยุดยิงในฉนวนกาซาที่เขาช่วยไกล่เกลี่ยนั้น นำมาซึ่งสันติภาพในตะวันออกกลางเป็นครั้งแรกในรอบ 3,000 ปี
ส่วนประเด็นเกี่ยวกับประเทศเวเนซุเอลา ทรัมป์ไม่ได้พูดถึงเลยในแต่ก่อนจะกล่าวสุนทรพจน์ทรัมป์ได้กล่าวถึงเวเนซุเอลาว่า
“พวกเขายึดสิทธิ์ครอบครองน้ำมันเราไป เรามีน้ำมันมากมายที่นั่น พวกเขาไล่บริษัทพวกเราออก และเราต้องการมันคืน”
ในปี 2007 อดีตประธานาธิบดีฮิวโก ชาเวซ ของเวเนซุเอลาได้บีบให้บริษัทน้ำมันของสหรัฐบางแห่งออกจากประเทศ ขณะที่รัฐบาลดำเนินการโอนกิจการน้ำมันให้เป็นของรัฐ
ทรัมป์ยังกล่าวถึงปฏิบัติการโจมตีทางทหารต่อเรือที่ถูกกล่าวหาว่าลักลอบขนยาเสพติดในทะเลแคริบเบียนและมหาสมุทรแปซิฟิกอย่างคลุมเครือ โดยบอกว่า สหรัฐ “ทำลายล้างแก๊งค้ายาเสพติดต่างชาติที่โหดเหี้ยม”







