ทรัมป์ลดท่าทีแข็งกร้าว หวังพบ ‘สี จิ้นผิง’ ปิดดีลการค้า

ทรัมป์ลดท่าทีแข็งกร้าว หวังพบ ‘สี จิ้นผิง’ ปิดดีลการค้า

ระหว่างที่นานาประเทศกำลังสาละวนเจรจาหาทางทำข้อตกลงการค้ากับสหรัฐให้ได้ก่อนเส้นตาย วันที่ 1 ส.ค. จีนกลับเงียบอย่างผิดสังเกต เรื่องนี้มีที่มาที่ไป

ระหว่างที่นานาประเทศกำลังสาละวนเจรจาหาทางทำข้อตกลงการค้ากับสหรัฐให้ได้ก่อนเส้นตาย วันที่ 1 ส.ค. จีนกลับเงียบอย่างผิดสังเกต เรื่องนี้มีที่มาที่ไป

แหล่งข่าววงในเผยกับสำนักข่าวบลูมเบิร์ก ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ลดท่าทีเผชิญหน้ากับจีนลงเพื่อให้ได้พบกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง และทำข้อตกลงการค้ากับจีน ที่มีเศรษฐกิจใหญ่อันดับสองของโลก

แหล่งข่าวระบุว่า หกเดือนในตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่ 2 ทรัมป์ลดวาจาก้าวร้าวเรื่องที่สหรัฐขาดดุลการค้าจีนมหาศาลส่งผลให้ต้องสูญเสียการจ้างงาน หันมาใช้ท่าทีเป็นมิตรกับจีนมากขึ้นช่างสวนทางกับคู่ค้ารายอื่นๆ ที่ทรัมป์รุกรีดภาษี

ขณะนี้ทรัมป์มุ่งเน้นทำข้อตกลงการค้ากับรัฐบาลปักกิ่ง เหมือนกับที่เคยทำในวาระแรก และยินดีปรีดากับการทำข้อตกลงได้อย่างรวดเร็ว แทนการแก้ไขปัญหาขาดดุลการค้าที่สาเหตุ ครึ่งแรกของปีนี้จีนได้เปรียบดุลการค้าสูงสุดเป็นประวัติการณ์จากการส่งออกที่พุ่งขึ้นผิดหูผิดตา

เมื่อวันอังคาร (15 ก.ค.) ประธานาธิบดีสหรัฐกล่าวว่า เขาจะสู้กับจีน “ฉันมิตร” แหล่งข่าวเผยว่า ในการประชุมกับทีมงาน ทรัมป์กลับเป็นฝ่ายแข็งกร้าวน้อยที่สุดในห้อง

เจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐย้ำว่า ทรัมป์มักชื่นชมสีเป็นการส่วนตัว กระนั้นตอนเป็นประธานาธิบดีสมัยแรกทรัมป์ก็ยังออกข้อจำกัดต่อหัวเว่ยเทคโนโลยี และเก็บภาษีสินค้าจีนเป็นส่วนใหญ่

การกลับไปกลับมาของทรัมป์และเลิกใช้นโยบายสายเหยี่ยวสร้างความกังวลให้กับคนในรัฐบาลรวมถึงที่ปรึกษาภายนอก ยิ่งสัปดาห์นี้ยิ่งกังวลหนักเมื่อเส้นแดงที่สหรัฐกำหนดกับจีนขณะนี้กลายเป็นเรื่องเจรจาได้

การปล่อยให้อินวิเดียขายชิป H20 ซึ่งทันสมัยน้อยกว่าให้กับจีนอีกครั้งแม้เจ้าหน้าที่ระดับสูงเคยบอกว่าจะไม่เกิดขึ้นก็ตามถือเป็นการขัดต่อคำมั่นสัญญาที่รัฐบาลเคยให้ไว้ ว่าจะไม่ให้รัฐบาลปักกิ่งเข้าถึงเทคโนโลยีสำคัญของสหรัฐ

เดือนก่อนสกอตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังที่กำลังถูกสมาชิกวุฒิสภากดดันด้วยกังวลว่าสหรัฐอาจแลกเซมิคอนดักเตอร์ล้ำยุคกับแร่ยากของจีน เบสเซนต์จึงอ้างว่า การควบคุม H20 คือหลักฐานว่ารัฐบาลกำลังใช้ไม้แข็งกับจีน

ขณะนี้การส่งออกชิปดังกล่าวยังคงต้องได้รับการอนุมัติ เป็นข้อจำกัดที่มีมาตั้งแต่สมัยอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน แต่เจ้าหน้าที่รัฐบาลทรัมป์บางคนก็คัดค้านเป็นการส่วนตัวไม่ให้ออกใบอนุญาต เพราะมีแต่จะเพิ่มความเข้มแข็งให้กับเทคโนโลยีจีน แต่คนอื่นๆ โต้แย้งว่า หากต้องการชัยชนะในการแข่งขันเอไอกับจีนต้องปล่อยให้อินวิเดียไปแข่งขันกับหัวเว่ย เจนเซน หวง ประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) อินวิเดียสนับสนุนความคิดนี้ที่หลายคนในรัฐบาลเห็นด้วย

  • พูดคุย‘สร้างสรรค์’

คุช เดไซ โฆษกทำเนียบขาวกล่าวว่า ทรัมป์เป็นคนฟันธงข้อตกลงการค้าทุกฉบับ ประธานาธิบดี“ต่อสู้มาโดยตลอดเพื่อสร้างความเท่าเทียมกันให้กับคนงานและอุตสาหกรรมของอเมริกา และรัฐบาลยังคงหารืออย่างสร้างสรรค์กับหุ้นส่วนทางการค้าทั้งหมดของเรา”

อีกหนึ่งความพยายามผ่อนคลายความตึงเครียดคือทางการสหรัฐกำลังเตรียมการชะลอเส้นตาย 12 ส.ค.ที่ต้องเก็บภาษีจากจีนสูงถึง 145% หลังจบระยะเวลาสงบศึก 90 วัน ซึ่งเบสเซนต์ส่งสัญญาณกับบลูมเบิร์กทีวีในการให้สัมภาษณ์สัปดาห์นี้ว่า เส้นตายดังกล่าวยืดหยุ่นได้

ผู้สันทัดกรณีรายหนึ่งเผยว่า การสงบศึกภาษีอาจขยายไปอีกสามเดือน ขณะที่ทรัมป์กำลังเก็บภาษีประเทศอื่นๆ ไปทั่ว รวมถึงพันธมิตรหลัก และขู่ว่าจะเก็บภาษีเพิ่มจากหลายๆ อุตสาหกรรม อาทิ ยาและเซมิคอนดักเตอร์

สัปดาห์ก่อน มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ อดีต ส.ว.ผู้วิจารณ์จีนอย่างแข็งกร้าว กล่าวว่า เขาได้พูดคุย “อย่างดีและสร้างสรรค์มาก” กับหวังอี้ รัฐมนตรีต่างประเทศจีนเมื่อวันศุกร์ (11 ก.ค.) และมีความเป็นไปได้ที่ทรัมป์กับสีจะพบกัน

เมื่อวันพุธ ทรัมป์ยกย่องความเคลื่อนไหวของจีนที่ควบคุมสารเคมีใช้ทำเฟนทานิลเข้มงวดยิ่งขึ้น ส่วนหนึ่งของมาตรการหลังจีนถูกทรัมป์เก็บภาษี 20% โทษฐานปล่อยให้ยาขนส่งเข้าสหรัฐ

“จีนกำลังให้ความช่วยเหลือ เฟนทานิลเป็นปัญหาร้ายแรงมานานหลายปี แต่นับจากผมเข้ารับตำแหน่ง เราคุยกับพวกเขา พวกเขาเดินหน้าไปมาก” ทรัมป์กล่าวกับผู้สื่อข่าว

ขณะเดียวกันคนในรัฐบาลบางคนมุ่งเน้นทำให้จีนเห็นชอบซื้อสินค้าและบริการของสหรัฐจำนวนหนึ่ง ซึ่งนั่นอาจผ่อนคลายความกังวลเรื่องการขาดดุลการค้าได้ แต่ไม่ได้แก้ปัญหาดุลการค้าในระยะยาว

การรับมือจีนอย่างสุภาพของทรัมป์เป็นเหตุให้ต้องขัดแย้งกับที่ปรึกษา หลายคนในทีมการค้าต้องการเล่นบทโหดกับปักกิ่ง และเคยรับปากไว้เป็นการส่วนตัวว่า การควบคุมการส่งออกจะไม่ถูกนำมาเป็นส่วนหนึ่งของเงื่อนไขเจรจาการค้า กระนั้นในการเจรจาเดือนก่อนที่ลอนดอน โฮเวิร์ด ลัตนิก รัฐมนตรีพาณิชย์ก็พูดขึ้นมาว่า การควบคุมการส่งออกล่าสุด ที่อ้างความมั่นคงแห่งชาติ มีเป้าหมายทำให้ปักกิ่งไม่พอใจเช่นกัน

สัปดาห์นี้ ทั้งลัตนิก เบสเซนต์ และเดวิด แซคส์ เจ้าพ่อเอไอและคริปโทของทำเนียบขาว พูดชัดว่า การอนุญาตให้อินวิเดียขายชิปทันสมัยน้อยให้จีนจริงๆ แล้วเป็นส่วนหนึ่งของการเจรจาการค้าที่กำลังดำเนินอยู่

พัฒนาการครั้งนี้ทำให้เกิดความกังวลว่า ทรัมป์จะยอมเสียความมั่นคงแห่งชาติไปมากแค่ไหนหากจีนขอระหว่างการเจรจา ที่ปรึกษาสายแข็งบางคนกลัวถึงขนาดที่ว่าการยกเลิกควบคุมชิปเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ คนอื่นๆ ยืนกรานว่า การอนุญาตให้ขายชิป H20 ซึ่งทันสมัยน้อยกว่าชิปอินวิเดียรุ่นท็อป แตกต่างกันอย่างมากกับการขายฮาร์ดแวร์ล้ำยุคซึ่งจะไม่ถูกนำมาเจรจา

“คุณต้องขายให้จีนมากพอทำให้นักพัฒนาของจีนเสพติดเทคโนโลยีสหรัฐ” ลัตนิกกล่าวกับซีเอ็นบีซีในวันอังคาร

คนที่จับตาสถานการณ์นี้อย่างใกล้ชิดหนีไม่พ้นพันธมิตรสหรัฐและบริษัททั่วยุโรปและเอเชีย รัฐบาลและอุตสาหกรรมเทคโนโลยีในภูมิภาคเหล่านี้ต่างได้รับข้อความว่ายุทธศาสตร์ของวอชิงตันอาจมีการเปลี่ยนแปลง

ทรัมป์นั้นขึ้นชื่อเรื่องการเปลี่ยนท่าทีกับจีนบ่อย บางครั้งพูดอะไรออกไปก็กลับลำทันที

เดเรก ซิสเซอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านจีนจากสถาบันวิสากิจอเมริกัน ระบุ

“ประธานาธิบดีทรัมป์เตรียมทำข้อตกลงกับจีน แต่อาจอยู่ได้ไม่นานการขาดดุลการค้าของสหรัฐสูงขึ้นมากแล้วในปีนี้ และงบประมาณใหม่น่าจะเพิ่มความต้องการนำเข้าในไตรมาสสี่ หากเราขาดดุลการค้าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2025 อะไรก็เกิดขึ้นได้ ไม่เว้นแม้แต่กับจีนก็ตาม”

ด้านปักกิ่งแสดงออกชัดเจนว่าตนถือไพ่เหนือกว่า ความได้เปรียบของจีนมาจากการยึดกุมแม่เหล็ก และสามารถใช้มันเป็นอาวุธได้เพราะสหรัฐต้องการมากปัจจุบัน จีนกำหนดให้บริษัทต่างๆ ต้องเปิดเผยข้อมูลสำคัญและยื่นขอใบอนุญาตส่งออกใหม่ทุกหกเดือน