'น้ำมัน 100 ดอลลาร์' เป็นไปได้ แต่ยาก คาดไม่ลามปิดช่องแคบฮอร์มุซ

วิเคราะห์ความเป็นไปได้ 'น้ำมัน 100 ดอลลาร์' มีโอกาสแต่ยาก เชื่อการเผชิญหน้าของอิสราเอล - อิหร่าน ไม่ลุกลามถึงขั้นปิดช่องแคบฮอร์มุซ จุดยุทธศาสตร์ขนส่งน้ำมันของโลก
ทุกครั้งที่เกิดสถานการณ์ความรุนแรงขึ้นในภูมิภาคตะวันออกกลาง จนดันให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้น "ราคาน้ำมัน 100 ดอลลาร์" จะกลับมาเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงเสมอ เพราะเคยสร้างความหวาดผวาให้กับเศรษฐกิจโลกมาแล้วหลายครั้ง กระทบทุกภาคส่วนทุกหย่อมหญ้า โดยครั้งล่าสุดที่ราคาน้ำมันโลกไต่ระดับขึ้นไปแตะ 100 ดอลลาร์/บาร์เรล ก็คือ ปี 2022 ที่รัสเซียทำสงครามบุกโจมตียูเครน
ส่วนในครั้งนี้ที่อิสราเอลเปิดฉากโจมตีอิหร่านเมื่อวันศุกร์ที่ 13 มิ.ย.68 ก่อนที่อิหร่านจะออกปฏิบัติการตอบโต้ และกลายเป็นการปะทะกันต่อเนื่องจนถึงปัจจุบันทำให้ ราคาน้ำมันโลก ปรับตัวพุ่งขึ้นถึงกว่า 13% ในสัปดาห์ที่แล้ว และบวกต่อเนื่องอีกกว่า 3% ในการซื้อขายที่ตลาดเอเชียวันนี้ (16 มิ.ย.68) จนสัญญาล่วงหน้าน้ำมันดิบเบรนด์ (Brent) ไปอยู่ที่ระดับ 74.87 ดอลลาร์/บาร์เรล และสัญญาล่วงหน้าน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ไปอยู่ที่ระดับ 73.74 ดอลลาร์/บาร์เรล
อย่างไรก็ตาม การที่ราคาน้ำมันจะพุ่งไปแตะระดับ 100 ดอลลาร์อีกครั้งในปี 2025 อาจไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนครั้งที่ผ่านๆ มา
บรรดานักวิเคราะห์หลายฝ่ายมองตรงกันว่า การโจมตีตอบโต้กันไปมาระหว่างอิสราเอล และอิหร่านจะดันให้ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้น แต่ส่วนใหญ่ให้กรอบราคาเอาไว้ไม่เกิน 80 ดอลลาร์/บาร์เรล เนื่องด้วยภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง การใช้น้ำมันลดลง และสต๊อกน้ำมันโลกที่ยังอยู่ในระดับสูง อีกทั้งสงครามยังจำกัดอยู่แค่สองประเทศ ไม่ได้ขยายวงไปถึงสหรัฐ และประเทศอื่นๆ
ที่สำคัญก็คือ หากการโจมตีไม่ได้ขยายวงไปถึงเส้นทางยุทธศาสตร์การขนส่งน้ำมันที่สำคัญของภูมิภาคอย่าง "ช่องแคบฮอร์มุซ" (Hormuz Strait) ก็แทบจะไม่มีปัจจัยที่ดันราคาน้ำมันไปถึง 100 ดอลลาร์ได้เลย
ING ให้อย่างมาก 80 ดอลลาร์
วอร์เรน แพตเทอร์สัน หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์สินค้าโภคภัณฑ์ของ ING Groep NV ระบุว่า หากโครงสร้างน้ำมัน และก๊าซระดับต้นน้ำ และกลางน้ำของอิหร่านถูกล็อกเป้าโจมตี จนเสี่ยงกระทบต่อซัพพลายมากถึง 1.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน ก็อาจเพียงพอที่จะกดดันราคาในตลาดจากภาวะผลิตล้นไปสู่การขาดแคลนได้ในช่วงครึ่งปีหลังนี้ โดยสถานการณ์ดังกล่าวอาจทำให้ราคาน้ำมันดิบเบรนต์พุ่งสูงถึง 80 ดอลลาร์/บาร์เรล แต่ ING เชื่อว่าราคาน่าจะอยู่ที่ราว 75 ดอลลาร์
แต่หากการเผชิญหน้าทวีความตึงเครียดขึ้นจนทำให้การขนส่งใน "ช่องแคบฮอร์มุซ" หยุดชะงัก และกระทบต่อการขนส่งน้ำมัน 14 ล้านบาร์เรล/วัน ก็จะเป็นประเด็นใหญ่ที่จะผลักดันให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงถึง 120 ดอลลาร์/บาร์เรล และหากการหยุดชะงักยังคงดำเนินต่อไปจนถึงสิ้นปี เราอาจเห็นราคาน้ำมันดิบเบรนต์ซื้อขายในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ แซงหน้าสถิติเดิมที่เกือบ 150 ดอลลาร์ในปี 2551
ปัจจัย Opec ยังกดดันราคา
ชารู ชานานา หัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุนของ Saxo Markets ในสิงคโปร์ มองว่า ราคาน้ำมันอาจพุ่งแตะระดับ 80 ดอลลาร์ หากความตึงเครียดในตะวันออกกลางทวีความรุนแรงขึ้น และเกิดความเสี่ยงด้านอุปทานขึ้นจริง แต่การผลิตน้ำมันของกลุ่มประเทศ "โอเปกพลัส" ที่เพิ่มขึ้นอาจเป็นตัวจำกัดราคา และกระตุ้นความกังวลเรื่องอุปทานล้นตลาดอีกครั้งในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ส่วนในกรณีเลวร้ายที่สุด เช่น ช่องแคบฮอร์มุซถูกปิด หรือการส่งออกน้ำมันของอิหร่านที่ 2.1 ล้านบาร์เรลต่อวัน หยุดชะงัก อาจส่งผลกระทบร้ายแรงต่ออุปทานน้ำมันโลก และคาดการณ์เงินเฟ้อ
เชื่อไม่ขยายวงเป็นสงครามเต็มรูปแบบ
มูเกช ซาห์เดฟ หัวหน้าฝ่ายตลาดสินค้าโภคภัณฑ์จาก Rystad Energy A/S ระบุว่า การผลิตน้ำมันของอิหร่านฟื้นตัวขึ้นตั้งแต่ปี 2019 จากการซื้อของ "จีน" ที่เพิ่มขึ้น โดยมีการผลิตในปัจจุบันสูงสุดถึง 4 ล้านบาร์เรล/วัน ส่วนการตอบโต้และการปิดช่องแคบฮอร์มุซของอิหร่านนั้น อาจสร้างความเสี่ยงต่ออุปทานน้ำมันดิบ แต่เมื่อพิจารณาจากเป้าหมายการเจรจาของ "สหรัฐ" ที่ระบุไว้ ทำให้ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่ความขัดแย้งจะทวีความรุนแรงกลายเป็นสงครามเต็มรูปแบบ
อิสราเอลมุ่งเด็ดชีพแกนนำมากกว่าลากยาว
โรเบิร์ต เรนนีย์ หัวหน้าฝ่ายวิจัยสินค้าโภคภัณฑ์ และคาร์บอนจาก Westpac Banking Corp. มองว่า เนื่องจากการโจมตีครั้งนี้ดูเหมือนจะมุ่งเป้าไปที่บรรดา "เสนาธิการทหารของอิหร่าน" มากกว่า ซึ่งรวมถึงหัวหน้า IRGC และนักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์ระดับสูง อีกทั้งสหรัฐไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง จึงแสดงให้เห็นว่าปฏิบัติการของอิสราเอลเป็นการชิงลงมือโจมตีก่อนแบบรวดเร็ว มากกว่าจะเป็นการสู้รบกันแบบยืดเยื้อ
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนจะให้ความสนใจเป็นพิเศษกับการตอบสนองของอิหร่าน และวิธีการที่อิหร่านกำหนดเป้าหมายไปที่อิสราเอล มากกว่าสงครามตัวแทน(เหมือนหลายครั้งที่ผ่านมา) และการพุ่งสูงขึ้นของราคาน้ำมันดิบเหนือระดับสูงสุดในเดือนม.ค. นั้นเป็นไปได้มาก อย่างไรก็ตาม ในภาพรวมยังคงมองว่าเมื่อเข้าสู่ไตรมาส 3 ราคาจะทดสอบช่วงล่างของกรอบ 60-65 ดอลลาร์ และมีความเสี่ยงที่ราคาจะต่ำกว่า 60 ดอลลาร์เมื่อเข้าสู่ไตรมาส 4
ยังไม่มีสัญญาณยกระดับ
ซาอูล คาโวนิก นักวิเคราะห์ด้านพลังงานจาก MST Marquee กล่าวว่า ขอบเขตของการโจมตีครั้งนี้อยู่ในระดับที่รุนแรงกว่าที่หลายฝ่ายคาดไว้สำหรับการโจมตีใดๆ และการตอบโต้ของอิหร่านอาจมีสิทธิทำให้สหรัฐ และฝ่ายอื่นๆ ในภูมิภาคถูกลากเข้าไปด้วย
แต่การที่อุปทานน้ำมันจะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงนั้น ความขัดแย้งจะต้องทวีความรุนแรงขึ้นจนถึงจุดที่อิหร่านตอบโต้ "โครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำมันในภูมิภาค" ซึ่งอิหร่านอาจกระทบอุปทานน้ำมันได้มากถึง 20 ล้านบาร์เรล/วัน ผ่านการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานน้ำมันหรือจำกัดการผ่านช่องแคบฮอร์มุซ แต่ปัจจุบันยังไม่มีสัญญาณบ่งชี้ใดๆ
จับตาโครงสร้างพื้นฐานน้ำมันถูกโจมตี
อย่างไรก็ดี เฮลิมา ครอฟท์ นักวิเคราะห์จาก RBC Capital Markets LLC ได้เตือนว่า แหล่งน้ำมันในตะวันออกกลางกำลังเผชิญความเสี่ยงเพิ่มขึ้น จากความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล และอิหร่าน เนื่องจากโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานกำลัง "ตกเป็นเป้าหมายอย่างชัดเจน"
“การที่ทั้งสองฝ่ายโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานในวันที่สองของการสู้รบนั้น ถือเป็นสาเหตุที่ชัดเจนของความกังวล” ครอฟท์อ้างถึงการโจมตีที่รวมถึงโรงงานก๊าซ และท่ามกลางความเป็นไปได้ต่างๆ อิสราเอลอาจเลือกโจมตีเกาะ Kharg ซึ่งเป็นฮับของเตหะรานในการควบคุมการขนส่งน้ำมันดิบ แม้ทางทำเนียบขาวอาจพยายามห้ามก็ตาม ในขณะที่ตัวแทนของอิหร่าน (proxies) ก็อาจเลือกโจมตีโรงงานในอิรักเช่นกัน
"ยิ่งความขัดแย้งนี้ดำเนินต่อไปนานเท่าไร โอกาสที่อิสราเอลจะพยายามจำกัดเงินทุนที่อิหร่านต้องการเพื่อฟื้นฟูโครงการนิวเคลียร์ ก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น" ครอฟท์ กล่าว
นักวิเคราะห์ของ RBC กล่าวด้วยว่า "หากการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองกลายเป็นเป้าหมายหลักของอิสราเอลในการทำสงครามครั้งนี้ เราไม่คิดว่าผู้นำอิหร่านจะให้ความสำคัญกับการรักษาเสถียรภาพอุปทานน้ำมันดิบอีกต่อไป" อย่างไรก็ตาม "เราคิดว่าการ 'ปิดช่องแคบ(ฮอร์มุซ)' กลายเป็นเพียงสถานการณ์จำลองที่ตลาดหยิบยกขึ้นมาเกินจริงในการซื้อขายช่วงหลังนี้มากกว่า"
‘ช่องแคบฮอร์มุซ’ สำคัญอย่างไร
ช่องแคบฮอร์มุซตั้งอยู่ระหว่างอ่าวเปอร์เซียกับอ่าวโอมาน โดยทางเหนือของช่องแคบติดกับพื้นที่ตอนใต้ของอิหร่าน ขณะที่ทางใต้ของช่องแคบติดกับชายฝั่งตะวันออกของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) และโอมาน มีปริมาณน้ำมัน 17.2 ล้านบาร์เรลขนผ่านเส้นทางนี้ในแต่ละวัน
ไม่ว่าประเทศยูเออี คูเวต อิหร่าน กาตาร์ บาห์เรน และอิรัก ก็ต้องขนส่งน้ำมันผ่านเส้นทางนี้ จึงเป็นความเสี่ยงต่ออุปทานน้ำมันโลก หากอิหร่านปิดช่องแคบนี้ ซึ่งอิหร่านเคยขู่สหรัฐในช่วงปี 2562 ว่าจะปิดช่องแคบฮอร์มุซเพื่อตอบโต้มาตรการคว่ำบาตรจากสหรัฐ
การปิดช่องแคบดังกล่าวอาจทำได้ไม่ยาก เพราะถึงแม้ส่วนที่แคบที่สุดจะกว้างถึง 33 กิโลเมตร แต่ทางวิ่งของเรือทั้งสองฝั่งกลับกว้างเพียง 3 กิโลเมตร เพื่อไม่ให้ท้องเรือสินค้าเกยตื้นหากวิ่งใกล้ชายฝั่งมากเกินไป
อีกทั้งช่องแคบฮอร์มุซเป็นช่องแคบน้ำตื้น จึงง่ายต่อการก่อวินาศกรรมจากทุ่นระเบิด โดยช่วงปี 2562 เรือหลายสัญชาติที่ผ่านช่องแคบนี้ถูกก่อวินาศกรรมโดยกลุ่มไม่ทราบฝ่าย
โลกเคยผ่านยุคน้ำมัน 100 ดอลลาร์มาแล้วกี่ครั้ง
- ปี 2008 - เป็นครั้งแรกที่ราคาน้ำมันโลกทะลุ 100 ดอลลาร์ โดยพุ่งไปแตะประมาณ 147 ดอลลาร์ในเดือนก.ค. จากความต้องการสูงทั่วโลก อุปทานตึงตัว และการเก็งกำไร ก่อนที่ราคาจะร่วงหนักตามมาภายในปีเดียวกัน หลังเกิดวิกฤติซับไพรม์ในช่วงเดือนต.ค.
- ปี 2011 - ราคาทะลุ 100 ดอลลาร์อีกครั้งจากวิกฤติการเมืองในตะวันออกกลาง (Arab Spring), สงครามในลิเบีย และเศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัวจากปี 2008
- ปี 2012 - ราคายังคงสูงกว่า 100 ดอลลาร์เกือบตลอดทั้งปี เนื่องจากความตึงเครียดในตะวันออกกลาง โดยเฉพาะเรื่องอิหร่าน
- ปี 2013 - ราคาน้ำมันยังอยู่ใกล้หรือสูงกว่า 100 ดอลลาร์ต่อเนื่องตลอดปี
- ปี 2014 - ราคาขึ้นไปสูงกว่า 100 ดอลลาร์ในช่วงต้นปี แต่ราคาตกหนักช่วงครึ่งปีหลัง จากการแข่งขันระหว่างฝ่ายโอเปก และฝ่าย Shale oil หรืออุตสาหกรรมน้ำมันจากชั้นหินดินดาน
- ปี 2022 - ราคากลับมาทะลุ 100 ดอลลาร์อีกครั้งในรอบเกือบสิบปี หลังรัสเซียบุกยูเครนในเดือนก.พ. และขึ้นไปแตะราว 139 ดอลลาร์ในเดือนมี.ค.
ที่มา: Bloomberg, กรุงเทพธุรกิจ, กรุงเทพธุรกิจรวบรวม
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







