ส่อง 'บูธอาหารญี่ปุ่น' งาน THAIFEX ธุรกิจใหม่พุ่งรับกระแสตอบรับดี

องค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (เจโทร กรุงเทพฯ) ยกทัพสินค้าและอาหารญี่ปุ่นบุกงาน THAIFEX - ANUGA ASIA 2025 งานจัดแสดงสินค้า อาหารและเครื่องดื่มที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปีนี้บริษัทสินค้าเกษตรและอาหารญี่ปุ่นเข้าร่วมมากถึง 37 บริษัท และ 7 องค์กร โดยมีผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ มาเพียบแน่นไปด้วยคุณภาพเหมือนเดิม

หลายคนที่เคยไปร่วมงาน THAIFEX และได้เยี่ยมชมสินค้าเกษตรและอาหารจากญี่ปุ่นคงทราบกันดีว่าส่วนใหญ่จะมีผลิตภัณฑ์อาหารทะเลขึ้นชื่อของจังหวัดต่างๆ ในญี่ปุ่น แต่ปีนี้นอกจากมีสินค้ายอดฮิตสำหรับตลาดไทยและตลาดโลกแล้ว ญี่ปุ่นยังได้นำสินค้าใหม่ๆ มาเปิดตัวและชวนลิ้มลองมากมาย

หนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่สะดุดตาเมื่อเข้าไปเยี่ยมชมเจแปนพาวิลเลียนก็คือ “ช็อกโกแลตสีน้ำเงิน” ของ Nihon Advanced Agri บริษัทนี้เน้นผลิตส่วนผสมแต่งสีอาหารจากวัตถุดิบธรรมชาติ อย่างสีน้ำเงินของช็อกโกแลตมาจากผงสีน้ำเงินของดอกอัญชันเรียกว่า “เทอร์นาติน” มีสรรพคุณช่วยยับยั้งระดับน้ำตาลในเลือดได้ บริษัทยังได้ผลิตบลูมัทฉะ (ผงอัญชันชงดื่มเหมือนชา) บลูลาเต้ และผงอัญชันแบบเม็ดอีกด้วย และนอกจากสีที่สร้างความแปลกใหม่แล้ว สีน้ำเงินจากดอกอัญชันยังเป็นผลิตภัณฑ์ที่ดีต่อสุขภาพ ที่สำคัญบริษัทใช้ดอกอัญชันที่ปลูกในไทยด้วย

"ขนมและของว่างแพลนต์เบส" จากบริษัท Bell International ก็เป็นอาหารเพื่อสุขภาพที่น่าสนใจไม่แพ้กัน ผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่เน้นผลิตจากข้าวเป็นหลัก อย่างคุกกี้ก็มีส่วนผสมจากข้าวโอ๊ต บิสกิตก็มีส่วมผสมของถั่วลูกไก่และแป้งข้าวกล้อง นอกจากนี้ยังมีขนมแท่งมันหวานญี่ปุ่น และของว่างที่เป็นข้าวสำเร็จรูปแบบฟรีซดรายที่มีหลายรสชาติหิวตอนไหนก็หยิบมากินได้ หมดห่วงเรื่องสุขภาพ พร้อมเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่สนใจดูแลสุขภาพกันมากขึ้น

ส่วนผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้แปลกแต่แอบแปลกใจคือ "ไข่ม้วนสำเร็จรูป" จาก Maruyuu บางคนคงสงสัยว่าจำเป็นต้องมีไข่ม้วนสำเร็จรูปด้วยหรือ เพราะร้านอาหารหรือแม้แต่ภาคครัวเรือนน่าจะทำได้อยู่แล้ว แต่ไข่ม้วนแบรนด์นี้ผลิตมาเพื่อตอบโจทย์ธุรกิจร้านอาหารบุฟเฟต์และร้านอาหารในโรงแรม ที่ต้องอาศัยความไว แต่ยังคงคุณภาพ ไข่ม้วนแบบแพ็กนี้คือคำตอบ นอกจากนี้ยังมีไข่ม้วนหั่นฝอยสำหรับโรยหน้า และไข่ม้วนแบบแผ่นสำหรับตกแต่งอาหารให้น่าทานมากยิ่งขึ้น

อาหารทะเลญี่ปุ่นปีนี้ก็มาหลายแบรนด์ แต่ที่น่าสนใจคือ อาหารทะเลจาก Azuma Foods หากมองเผินๆ อาจดูเหมือนอาหารทะเลหรือเนื้อสัตว์ทั่วไป แต่ที่จริงแล้วเป็นเนื้อสัตว์แพลนต์เบส ทั้งปลามากุโระ แซลมอน กุ้ง เนื้อ หมู ที่ใส่แพ็กเกจสวยๆ โชว์หน้าร้านล้วนผลิตมาจากพืช เช่น ถั่วชนิดต่างๆ และบุก ส่วนสีของอาหารก็มาจากธรรมชาติ เช่น สีเขียวมาจากสีของวาซาบิ ตอบโจทย์คนแพ้อาหารทะเล และเป็นผลิตภัณฑ์ส่งเสริมความยั่งยืน

ขณะที่สินค้ายอดฮิตของญี่ปุ่นก็ยกทัพมาอย่างคับคั่ง อาทิ “ชาเขียว” แบรนด์ดัง MARUKYU KOYAMEAN ที่เจโทรกระซิบมาว่าคนไทยนิยมหิ้วกลับจากญี่ปุ่นจำนวนมาก, ไอศกรีมยูซุ ของแบรนด์ Kochi Ice ซึ่งผลิตจากส้มยูซุ จ.โคจิ เบอร์หนึ่งของญี่ปุ่น และมีจำหน่ายในสายการบินเจแปนแอร์ไลน์ด้วย, เนื้อวัวพรีเมียม “โตกะ อากาอูชิ วากิว” ซึ่งเป็นเนื้อวัวญี่ปุ่นพันธุ์สีน้ำตาลจาก จ.โคจิ เนื้อแดงมันน้อย รสชาติเข้มข้น ร้านอาหารมิชลินสามดาวมักใช้เนื้อวัวพันธุ์นี้ และปลาอายู จาก จ.โตชิกิ บริษัท Masui fish farm รับประกันว่าเลี้ยงด้วยน้ำสะอาดหรือเปรียบได้กับน้ำดื่ม มั่นใจสินค้าสดและปลอดภัย

นอกจากนี้ยังมีสินค้าอีกหลายประเภทให้ภาคธุรกิจและประชาชนคนไทยทั่วไปได้ไปชิม ช้อป ดีล อาทิ เหล้าญี่ปุ่น ข้าวญี่ปุ่น อาหารสำหรับเด็กเล็ก ขนมเยลลี่ผลไม้ มันหวาน เครื่องปรุงรส ฯลฯ งานนี้จัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 27-31 พ.ค. และจะเปิดให้ประชาชนทั่วไปเยี่ยมชมและซื้อสินค้าได้ในวันที่ 31 พ.ค. เท่านั้น

จะเห็นได้ว่าผลิตภัณฑ์ญี่ปุ่นที่เข้าร่วมงาน THAIFEX ในปีนี้มีความหลากหลายมาก โยชินาริ สุดะ ผู้อำนวยการแผนกเกษตรและอาหารของเจโทรเผยว่า ปีนี้เจโทรเน้นคัดเลือกสินค้าใหม่มาออกบูธ เพราะทราบดีว่าคนไทยชื่นชอบของใหม่ๆ อยู่เสมอ ขณะเดียวกันก็ดูความสมดุลของประเภทสินค้าต่างๆ ด้วย

สำหรับเจโทรแล้ว ตลาดในไทยยังถือว่ามีศักยภาพมาก ซึ่งดูได้จากมูลค่าการส่งออกสินค้าป่าไม้และประมงจากญี่ปุ่นไปยังไทยในปี 2567 แตะระดับ 6.28 หมื่นล้านเยน มากเป็นอันดับที่ 7 รองจากเวียดนาม และเติบโตจากปี 2566 ราว 22.9%

โยชินาริ สุดะ ผู้อำนวยการแผนกเกษตรและอาหารของเจโทร

เมื่อแยกตามประเภทสินค้า พบว่าญี่ปุ่นส่งออกอาหารทะเลไปยังไทยจำนวนมาก และสินค้าที่มีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่น ได้แก่ เนื้อวัว โตจาก 2.9 พันล้านเยนในปี 2566 เป็น 4 พันล้านเยนในปี 2567 ขณะที่หอยเชลล์โฮตาเตะมูลค่ากระโดดจาก 1.2 พันล้านเยน ขึ้นเป็น 4.2 พันล้านเยน และขึ้นเป็นสินค้าที่ส่งออกมากที่สุดอันดับ 3 ในปีที่แล้ว จากเดิมครองอันดับ10 ในปี 2566

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้มูลค่าส่งออกหอยเชลล์สูงขึ้น อาจมากจากการที่จีนระงับการนำเข้าสินค้าทะเลจากญี่ปุ่นทำให้หอยเชลล์ที่ปกติส่งไปแกะเปลือกที่จีนต้องส่งมาแกะเปลือกในไทยแทนมูลค่าการค้าหอยเชลล์จึงเพิ่มแบบก้าวกระโดด

อีกปัจจัยอาจมาจากการจัดแคมเปญโปรโมตหอยเชลล์โฮตาเตะในปีที่แล้ว ซึ่งได้เชิญเชฟกระทะเหล็กมาทำอาหารโดยใช้หอยเชลล์เป็นวัตถุดิบหลัก เพื่อให้คนไทยรู้จักและได้ลิ้มลองหอยเชลล์คุณภาพจากญี่ปุ่นมากขึ้น

ส่วนเรื่องนโยบายภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผอ.โยชินาริ เผยว่า สินค้าอาหารทะเลได้รับผลกระทบบ้างผู้ประกอบการญี่ปุ่นก็พยายามหาตลาดใหม่ๆ เพิ่มเติมเพื่อขยายการส่งออกอาหารทะเล ขณะที่ทางรัฐบาลญี่ปุ่นเองยังคงอยู่ในช่วงเจรจาการค้ากับสหรัฐอย่างต่อเนื่อง