‘ทรัมป์ 2.0’ กดดันจีนเข้มกว่าเดิม ฉุดหุ้นแดนมังกรสะเทือน

ทรัมป์ 2.0 กดดัน-ปิดล้อม 'จีน' เข้มข้นขึ้นรอบด้าน กดดันพันธมิตรต่างชาติร่วมมือด้วย เตรียมคุมส่งออกชิป Nvidia เป็นขั้นต่อไป ฉุดตลาดหุ้นจีนสะเทือน
ก่อนหน้าสงครามการค้ารอบใหม่ระหว่างสหรัฐกับจีนซึ่งสหรัฐเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนในอัตรา 10% มีผลเมื่อวันที่ 4 ก.พ. ก่อนจะถูกฝั่งจีนเรียกเก็บภาษีกลับในอัตรา 10-15% มีผลเมื่อวันที่ 10 ก.พ. นั้น หลายฝ่ายคิดว่าจีนเคยผ่านบทเรียนมาแล้วครั้งหนึ่ง และครั้งนี้น่าจะรับมือได้ไม่ยาก
อย่างไรก็ตาม จนถึงปัจจุบันข้อพิพาททางการค้าระหว่างทั้งสองฝ่ายดูจะยังไม่มีแนวโน้มคลี่คลายลง ในทางตรงกันข้าม มีรายงานว่ารัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังจะยกระดับการกดดันเศรษฐกิจจีนให้เข้มข้นขึ้นกว่าเดิมเมื่อเทียบกับยุค ทรัมป์ 1.0 หรือเทียบกับรัฐบาลเก่าของโจ ไบเดน
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า รัฐบาลทรัมป์ 2.0 กำลังดำเนินมาตรการหลายอย่างที่เกี่ยวข้องกับการลงทุน การค้า และประเด็นอื่นๆ ซึ่งอาจทำให้ความสัมพันธ์กับคู่แข่งทางเศรษฐกิจรายใหญ่นี้แย่ลง
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (21 ก.พ.) ทรัมป์ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจสั่งการให้คณะกรรมการการลงทุนจากต่างประเทศในสหรัฐ (CFIUS) จำกัดการลงทุนของจีนในภาคส่วนที่มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ ทั้งในภาคเทคโนโลยี พลังงาน และภาคส่วนยุทธศาสตร์อื่นๆ ในสหรัฐ โดยสหรัฐจะกำหนดกฎเกณฑ์ใหม่เพื่อยับยั้งการแสวงหาประโยชน์จากเงินทุน เทคโนโลยี และองค์ความรู้ของสหรัฐโดยจีน และจะอนุญาตเฉพาะการลงทุนที่เอื้อประโยชน์ต่อสหรัฐเท่านั้น
คำสั่งดังกล่าวเรียกปักกิ่งว่าเป็น "ศัตรูต่างชาติ" และระบุว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จำเป็นต่อการปกป้อง "เทคโนโลยีที่เป็นอัญมณีล้ำค่าของสหรัฐ อุปทานอาหาร พื้นที่เกษตรกรรม แร่ธาตุ ทรัพยากรธรรมชาติ ท่าเรือ และสถานีขนส่งสินค้า"
นอกจากนี้ยังเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ "รัฐบาลเม็กซิโก" กำหนดภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเอง หลังจากที่บางบริษัทจากจีนย้ายฐานการผลิตไปยังเม็กซิโกเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีศุลกากรที่พรรครีพับลิกันเคยบังคับใช้ในสมัยแรกของทรัมป์ และยังเสนอให้มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมท่าเรือในสหรัฐสำหรับเรือพาณิชย์ที่ผลิตในจีน เพื่อตอบโต้การครอบงำของจีนในอุตสาหกรรมต่อเรือด้วย
แรงกดดันต่อจีนยังขยายไปถึงตลาดหุ้น โดยรัฐบาลประกาศด้วยว่าจะทำการตรวจสอบ "บริษัทต่างชาติที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐ" และจะทบทวนโครงสร้างการเป็นเจ้าของของบริษัทเหล่านี้ด้วย
เมื่อรวมกันแล้ว มาตรการเหล่านี้ถือเป็นการดำเนินการที่ครอบคลุมและเข้มงวดที่สุดที่พุ่งเป้าไปที่ปักกิ่งนับตั้งแต่ทรัมป์เริ่มต้นวาระที่สอง และอาจทำให้ข้อตกลงเพื่อลดการเกินดุลการค้าของจีนกับสหรัฐตามที่ทรัมป์ต้องการเจรจา ไกลออกไปจากความเป็นจริง
มาร์ติน ชอร์เซมปา นักวิจัยอาวุโสจากสถาบันเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศปีเตอร์สัน ในกรุงวอชิงตัน กล่าวว่า "นี่น่าจะเป็นเรื่องน่าผิดหวังสำหรับปักกิ่ง ซึ่งหวังจะเสนอการลงทุนขนาดใหญ่ในสหรัฐเพื่อเป็นข้อต่อรองในการเจรจา" และเสริมว่า "นโยบายนี้ทำให้เกิดคำถามว่าสหรัฐจะยังเปิดรับการลงทุนประเภทดังกล่าวหรือไม่
คุมเข้ม ‘ชิป’ หนักกว่ายุคไบเดน
บลูมเบิร์กระบุว่า ฝ่ายบริหารของทรัมป์กำลังร่างมาตรการควบคุมเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐที่เข้มงวดขึ้น และกดดันพันธมิตรหลักให้เพิ่มข้อจำกัดต่ออุตสาหกรรมชิปของจีน ซึ่งเป็นสัญญาณเบื้องต้นว่ายุคทรัมป์ 2.0 จะยกระดับการปิดล้อมเทคโนโลยีจีนที่เริ่มต้นในยุคไบเดน ให้เข้มข้นขึ้น
แหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องระบุว่า เจ้าหน้าที่ของทรัมป์เพิ่งพบปะกับเจ้าหน้าที่จาก “ญี่ปุ่น” และ “เนเธอร์แลนด์” โดยพูดคุยเกี่ยวกับการจำกัดไม่ให้วิศวกรของบริษัท Tokyo Electron Ltd. และ ASML Holding NV ให้บริการดูแลรักษา/ซ่อมบำรุงอุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์ในจีน เพื่อให้พันธมิตรต่างชาติเหล่านี้ปฏิบัติตามมาตรการควบคุมที่สหรัฐกำหนดไว้กับบริษัทชิปของสหรัฐเอง เช่น Lam Research Corp., KLA Corp. และ Applied Materials Inc.
การประชุมดังกล่าวเกิดขึ้นควบคู่ไปกับการหารือเบื้องต้นในวอชิงตันเกี่ยวกับการคว่ำบาตรบริษัทจีนบางแห่ง แหล่งข่าวระบุว่าเจ้าหน้าที่ของทรัมป์บางส่วนต้องการ “จำกัดประเภทของชิป” จาก Nvidia Corp. ที่สามารถส่งออกไปยังจีนได้โดยไม่ต้องขอใบอนุญาตนอกจากนี้ ยังอาจเพิ่มความเข้มงวดของข้อจำกัดที่มีอยู่เดิมเกี่ยวกับปริมาณชิป AI ที่สามารถส่งออกไปทั่วโลกโดยไม่ต้องขอใบอนุญาต
ก่อนหน้านี้ บลูมเบิร์กและรอยเตอร์สรายงานอ้างการเปิดเผยของแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องว่า ทรัมป์ กำลังพิจารณาจะออกมาตรการเพิ่มเติมกับ Nvidia เพื่อควบคุมการส่งออกชิปไปยังจีนให้เข้มงวดขึ้นกว่าเดิม โดยคาดว่าครั้งนี้จะมุ่งเป้าไปที่ "H20" ซึ่งเป็นชิปเอไอเบอร์รองที่ลดสเป็กลง และผลิตขึ้นมาเพื่อป้อนตลาดจีนโดยเฉพาะ
ตลาดหุ้นจีนสะเทือน
บลูมเบิร์กรายงานว่า “หุ้นจีน” ร่วงลงอย่างหนักหลังปิดตลาดเมื่อวันจันทร์ที่ 24 ก.พ. นำโดยหุ้นของ “อาลีบาบา กรุ๊ป โฮลดิ้ง” ถูกเทขายทิ้งมากสุดนับตั้งแต่ปี 2565 โดยใบรับฝากหลักทรัพย์ในสหรัฐ (ADRs) ของอาลีบาบาปิดตัวลดลงถึง 10% ซึ่งเป็นการตกลงมากที่สุดในรอบเกือบ 3 ปี นับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2565
ขณะที่ดัชนี Nasdaq Golden Dragon China ดัชนีที่ติดตามผลการดำเนินงานของหุ้นจีนที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐลดลง 5.2%นอกจากนี้ บริษัทจีนอื่นๆ เช่น แพลตฟอร์มวิดีโอออนไลน์ Bilibili Inc. และบริษัทอีคอมเมิร์ซ JD.com Inc. ก็เผชิญกับราคาหุ้นที่ลดลงกว่า 7%
หุ้นจีนเผชิญแรงกระเพื่อมต่อเนื่องในบ้านของตนเองที่ตลาดจีนและฮ่องกงเมื่อวันอังคารที่ 25 ก.พ. โดยดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกง ปิดตลาดวังอังคารลดลง 307.59 จุด หรือ -1.32% ปิดที่ระดับ 23,034.02 จุด ขณะที่ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิต ปิดลบ 26.99 จุด หรือ -0.80% ปิดที่ระดับ 3,346.04 จุด
นีโอ หว่อง นักวิเคราะห์เศรษฐกิจมหภาคจีนจากบริษัท Evercore ISI มองว่า การที่หุ้นถูกเทขายอย่างหนักนั้น ไม่ได้เกิดจากความกังวลที่แท้จริงต่อสถานการณ์ แต่เป็นปฏิกิริยาของนักลงทุนที่ต้องการลดความเสี่ยงไว้ก่อน คือ “ขายก่อนแล้วค่อยถามทีหลัง” และมองว่าความเคลื่อนไหวของทรัมป์เป็นกลยุทธ์ในการเจรจาต่อรองกับจีนมากกว่า
อย่างไรก็ตาม ในวันนี้ (26 ก.พ.) ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนปิดตลาดพุ่งขึ้น 34.17 จุด หรือ 1.02% ปิดที่ระดับ 3,380.21 จุด โดยได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี อันเนื่องมาจากกระแสการตอบรับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในจีน
ในวันเดียวกันนี้ นายรัฐมนตรีจีน หลี่ เฉียง ได้เรียกร้องให้บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านการสื่อสารโทรคมนาคม 3 แห่งในประเทศ คือ China Mobile, China Telecom และ China Unicom เร่งการวิจัยและพัฒนา เพื่อส่งเสริมนวัตกรรมและการเติบโตทางเศรษฐกิจในวงกว้าง ตอกย้ำความมุ่งมั่นของจีนที่จะพึ่งพาตนเองให้มากขึ้น ในขณะที่ฮ่องกงเตรียมจัดสรรงบประมาณ 1 พันล้านดอลลาร์ฮ่องกง สำหรับจัดตั้งสถาบันวิจัยและพัฒนา AI พร้อมทั้งขอให้บริษัทเอกชนมีส่วนร่วมในการช่วยพัฒนาบุคคลากรด้าน AI ตั้งแต่ในโรงเรียนจนถึงระดับมหาวิทยาลัย







