‘GIFT’ นิยามเศรษฐกิจโลก เติบโต-แตกแยกท่ามกลางทรัมป์ 2.0

‘GIFT’ นิยามเศรษฐกิจโลก  เติบโต-แตกแยกท่ามกลางทรัมป์ 2.0

นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสจากคอมเมิร์ซแบงก์ แสดงปาฐกถาพิเศษในงานของหอการค้าเยอรมัน-ไทย มองเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยในปี 2025 เชื่อไทยยังโตได้อีก

พบกันเป็นประจำทุกปีกับงาน Thailand Economic Outlook ของหอการค้าเยอรมัน-ไทย (จีทีซีซี) ปีนี้ได้ชาร์ลี เลย์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสจากคอมเมิร์ซแบงก์ ฐานปฏิบัติการในสิงคโปร์มาบรรยายในหัวข้อ Asia Outlook: Adjusting to an Unsettled New Normal ฉายภาพอนาคตอันใกล้ที่เอเชียต้องเผชิญ 

เลย์สรุปสถานการณ์เศรษฐกิจโลกด้วยอักษรสี่ตัวอ่านว่า GIFT (ของขวัญ) ซึ่งประกอบไปด้วย G: Growth, I: Inflation, F: Fragmentation  และ T: Trump 2.0  ‘GIFT’ นิยามเศรษฐกิจโลก  เติบโต-แตกแยกท่ามกลางทรัมป์ 2.0

  • G: Growth

นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสจากคอมเมิร์ซแบงก์เปิดฉากด้วยอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโลกปี 2025 คาดการณ์ไว้ที่ 3.2% ซึ่งก็ถือว่าไม่เลว ส่วนเศรษฐกิจสหรัฐประเมินไว้ที่ 2.3% แต่ในเดือน ม.ค. มีการปรับเพิ่มเป็น 2.7% 

 “แนวโน้มการเติบโตของสหรัฐอยู่ที่ราว 1.8%-2.0% อะไรที่เกิน 2% ถือว่าแข็งแกร่งอย่างมาก” เลย์ย้ำพร้อมชี้ว่าในเดือน ธ.ค.ปี 2011 จีนเข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก (ดับเบิลยูทีโอ) และโลกไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

ขณะนี้เราอยู่ในโลกใหม่ที่่ความพิเศษของสหรัฐ (US exceptionalism) ในแง่การเติบโตของจีดีพียังดำเนินอยู่ต่อไป แต่จะไม่เป็นเช่นนั้นตลอดกาล ขณะเดียวกัน Chinese exceptionalism การเติบโตที่เราเห็นในช่วง 40 ปีที่ผ่านมาจบลงแล้ว 

“เศรษฐกิจจีนที่แข็งแกร่งไม่เหมือนใครระดับ 10% จะไม่มีวันกลับมาได้อีก ในเมื่อสร้างโลกใหม่ไม่ได้ ทุกคนก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับมันให้ได้” เลย์แนะโดยเจาะในรายประเทศสำคัญ ในปี 2025 เศรษฐกิจสหรัฐคิดเป็นราว 27% ของจีดีพีโลกแต่ภายในสิ้นทศวรรษ 2030 เศรษฐกิจสหรัฐจะอยู่ที่ 37 ล้านล้านดอลลาร์ หรือราว 26% ของจีดีพีโลก

ขนาดเศรษฐกิจโลกตอนนี้อยู่ที่ราว 110 ล้านล้านดอลลาร์ ภายในสิ้นทศวรรษย่อมโตกว่านี้แต่สหรัฐยังอยู่ที่ 26% หรือประมาณหนึ่งในสี่ จีน 18% และยูโรโซน 16% ตอนนี้เศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสามของโลกคือเยอรมนี แต่เมื่อสิ้นทศวรรษจะเป็นอินเดีย

เมื่อรวมสหรัฐกับจีนจะคิดเป็น 45% ของจีดีพีโลกเท่ากับว่าจะเป็นตัวตัดสินส่วนที่เหลือในเศรษฐกิจโลกว่าจะไปถึงไหน

อย่างไรก็ตาม หลายสิบปีที่ผ่านมาสหรัฐชี้นำเศรษฐกิจโลก แม้ผ่านแรงกระแทกรุนแรงสามครั้ง ได้แก่ โรคระบาดใหญ่ครั้งแรกในรอบหลายร้อยปี สงครามใหญ่ครั้งแรกในยุโรปรอบ 80 ปี และการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ  แต่เศรษฐกิจยังยืนระยะได้ด้วยมาตรการกระตุ้นทางการเงิน การขาดดุลงบประมาณ และข้อได้เปรียบด้านอุปทาน เช่น แรงงาน เทคโนโลยี 

"ในทางทฤษฎีการขาดดุลงบประมาณไม่ควรเกิน 3% ของจีดีพีแต่ตอนนี้สหรัฐขาดดุลงบประมาณมหาศาลที่ 6%  แล้วถ้าเศรษฐกิจหดตัวจะเพิ่มขึ้นเป็น 10% คำถามคือตลาดการเงินโลกจะรับมือได้หรือไม่ ถ้าสหรัฐขาดดุลงบประมาณ 10% ของจีดีพี" นักเศรษฐศาสตร์รายนี้ตั้งคำถาม 

  •  I:  inflation เงินเฟ้อ 

เลย์ชี้ว่า ตัวขับเคลื่อนเงินเฟ้อสหรัฐอย่างแท้จริงคือเงินเฟ้อภาคบริการ ซึ่งไม่ใช่แค่ปัจจัยการผลิตแต่หมายรวมถึงแรงงานและค่าจ้างด้วย 

 อย่างไรก็ตาม I ยังหมายถึง inferno (ไฟนรก) ได้เช่นกัน ผู้คนในสังคมโกรธเกรี้ยวเพราะค่าครองชีพสูง ทุกวันนี้สูงกว่าช่วงก่อนโควิด 20% แต่ค่าจ้างไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก เป็นอย่างนี้ทั่วโลกไม่ใช่เฉพาะสหรัฐ

  •  F: fragmentation ความแตกแยกในระเบียบโลก 

 ในช่วง 80 ปีที่ผ่านมานับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 โลกาภิวัตน์ (globalization) มีความหมายเท่ากับการทำให้เป็นอเมริกัน (Americanization)

 เพราะสหรัฐเป็นผู้จัดระเบียบโลกใหม่ ไม่ว่าจะเป็นองค์การอนามัยโลก องค์การการค้าโลก สหประชาชาติ

จริงๆ แล้วโลกาภิวัฒน์ช่วยลดความเหลื่อมล้ำด้านรายได้ระหว่างประเทศร่ำรวยกับประเทศกำลังพัฒนา ดูอย่างสิงคโปร์ ไทยที่พัฒนาประเทศผ่านโลกาภิวัตน์ทำให้ค้าขายกับส่วนอื่นๆ ของโลกได้ แต่ภายในประเทศโลกาภิวัตน์อาจเพิ่มความเหลื่อมล้ำด้านรายได้ 

ดังนั้นรัฐบาลต้องทำงานมากขึ้นกระจายดอกผลของโลกาภิวัตน์ เก็บภาษีคนร่ำรวยมากขึ้นกระจายไปสู่ส่วนที่เหลือของสังคม 

ในภาพรวมเมื่อโลกาภิวัตน์ขยายตัวขึ้นมากจีนก็ส่งออกเพิ่มขึ้นมาก  เพราะสินค้าจีนราคาถูกมากแต่ตอนนี้ไม่ถูกอีกต่อไป  จีนไม่สนใจผลิตสินค้าราคาถูกแต่กำลังยกระดับห่วงโซ่คุณค่า ที่ภาษาเศรษฐศาสตร์เรียกว่า autarky (ความสามารถของชาติในการพึ่งพาตนเองทางเศรษฐกิจ) หากจีนกำลังเตรียมการเช่นนี้เลย์เตือนว่า ทุกประเทศควรเตรียมตัวให้ดี 

อย่างไรก็ตาม สัดส่วนการส่งออกของจีนต่อจีดีพีโลกยังเพิ่มขึ้นต่อไป ซึ่งไม่ใช่เรื่องของเศรษฐกิจแต่เป็นเรื่องของอีโคซิสเต็ม

"จีนเป็นระบบนิเวศที่มีประสิทธิภาพสูงสุดที่สร้างขึ้นและมีขนาดใหญ่มาก ด้วยเหตุนี้การส่งออกของจีนต่อจีดีพีจึงยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมื่อเป็นเช่นนี้การนำเข้าของจีนก็ควรจะเพิ่มขึ้นเช่นกัน แต่กลับเป็นตรงกันข้าม จีนนำเข้าน้อยลงๆ"  

เลย์ย้ำว่า  ระเบียบโลกใหม่คือการกีดกันทางการค้าเพิ่มขึ้น ต่อไปภาษีจะกลายเป็นปทัสถาน 

  • T: Trump 2.0  

 ทรัมป์ 2.0 ประกาศขึ้นภาษีศุลกากร เนรเทศคนลักลอบเข้าเมือง ลดอัตราภาษี เพิ่มการใช้จ่าย ทั้งหมดนี้ทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้น  เฟดก็ต้องขึ้นดอกเบี้ยทำให้ดอลลาร์แข็งค่า และยิ่งดอลลาร์แข็งค่าสหรัฐก็เสียเปรียบดุลการค้ามากขึ้น ทั้งๆ ที่ทรัมป์หาเสียงว่าจะลดการขาดดุล 

ขณะที่ความเป็นคู่แข่งระหว่างสหรัฐกับจีนจะยังคงอยู่ต่อไป ทรัมป์ 2.0 ส่งผลต่อภูมิรัฐศาสตร์ในเอเชีย   จีนห้ามล้ำสี่เส้นแดงได้แก่ ไต้หวัน ประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน วิถีทางการพัฒนาและระบบการเมือง   และสิทธิในการพัฒนาเศรษฐกิจของจีน  สิ่งที่จีนขอคือเคารพซึ่งกันและกัน อยู่ร่วมกันอย่างสันติ ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย 

หากมองนโยบายอเมริกาต้องมาก่อนของทรัมป์เห็นได้ว่าไม่ค่อยปรึกษาหารือใคร คาดการณ์ยาก ลดการให้ความช่วยเหลือโดยเฉพาะค่าใช้จ่ายทางทหาร   ไม่ใช่แค่ยุโรปแต่ทั่วโลกไม่สามารถพึ่งพิงสหรัฐได้อีกต่อไป  และการเก็บภาษีจะไม่มีผู้ชนะ ไม่มีใครชนะในสงครามการค้า มีแต่คนที่เสียหายน้อยกว่า 

  •   เศรษฐกิจไทยยังทำดีกว่านี้ได้

 สำหรับประเทศไทยจีดีพีปีนี้คาดการณ์ไว้ที่ราว 3% ถืือว่าดีแต่สามารถทำได้ดีกว่านี้อีก ชาร์ลี เลย์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสจากคอมเมิร์ซแบงก์มองว่า จริงๆ แล้วไทยควรโต 4%-5% ขึ้นไป ดังนั้นเสถียรภาพทางการเมืองจึงเป็นเรื่องสำคัญ   

หนี้ครัวเรือนไทยอยู่ที่ 91% บางคนประเมินว่าสิ้นปี 2024 อยู่ที่ 104% ขาดดุลงบประมาณ 3.7% ของจีดีพีถือว่าไม่เลว อย่างน้อยๆ พื้นที่ชนบทบางแห่งยังดีอยู่ 

 รัฐบาลไทยมีความยืดหยุ่นทางนโยบาย แต่จะสามารถกระตุ้นให้รัฐบาลปฏิรูปครั้งสำคัญได้หรือไม่ยังเป็นคำถามใหญ่ 

 สำหรับเอเชียสิ่งที่ต้องทำต่อไปเพื่อความอยู่รอดคือเหนียวแน่นกันไว้ สร้างพันธมิตรและความสัมพันธ์ในรูปแบบใหม่ เช่น CPTPP, เขตเศรษฐกิจพิเศษยะโฮร์-สิงคโปร์ เหล่านี้จะช่วยให้ยืดหยุ่นได้มากขึ้น