ยุคทรัมป์ 2.0 'ไทย' ควรพลิกวิกฤติเป็นโอกาส แม้ชาติอาเซียนไม่อยู่ในสายตาสหรัฐ

ยุคทรัมป์ 2.0 'ไทย' ควรพลิกวิกฤติเป็นโอกาส แม้ชาติอาเซียนไม่อยู่ในสายตาสหรัฐ

ผศ.ดร. พงศ์พิสุทธิ์ บุษบารัตน์ มองการกลับมาของทรัมป์มีเรื่องให้กังวล แต่ก็มีข้อดีและโอกาสที่จะผลักดันไทยพัฒนาในด้านต่างๆ เพื่อรับมือกับความท้าทาย แม้ชาติในอาเซียนไม่ได้อยู่ในสายตาสหรัฐ เนื่องจากยังไม่มีความเข้มแข็งมากพอ และไม่ได้ตอบรับสหรัฐอย่างกระตือรือร้น

ผศ.ดร. พงศ์พิสุทธิ์ บุษบารัตน์ อาจารย์ประจำภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผู้อำนวยการสถาบันศึกษาความมั่นคงและนานาชาติ (ISIS Thailand) เผยในงานเสวนาโต๊ะกลม Geopolitics 2025 | TRUMP 2.0 : The Global Shake Up เมื่อวันที่ 21 ม.ค. ว่า การเข้ามารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐสมัยที่สองของ โดนัลด์ ทรัมป์ มีทั้งข้อกังวล ข้อดี และโอกาส

ข้อกังวล คือ เราจะได้เห็นความผันผวนของนโยบายต่างประเทศของทรัมป์มากขึ้น เช่น สงครามการค้า และการขึ้นภาษี อาจทำให้เกิดคาดเดาได้ยาก และนำไปสู่การลดบทบาทสหรัฐในหลายเวทีโลก เนื่องจากทรัมป์ต้องการถอนสหรัฐออกจากข้อตกลงต่างๆ เช่น ข้อตกลงปารีส ความตกลงการค้าเสรี และองค์การอนามัยโลก เป็นต้น

พงศ์พิสุทธิ์ กล่าวว่า หลังสงครามโลกที่ 2 เกิดข้อตกลง และกฎระเบียบระหว่างประเทศมากมาย ซึ่งสหรัฐถือเป็นผู้นำในการบังคับใช้และสนับสนุนกฎระเบียบและกฎหมายเหล่านั้นมาโดยตลอด ดังนั้น การที่สหรัฐลดบทบาทสนับสนุน อาจทำให้การส่งเสริมการค้าเสรี การส่งเสริมสิทธิมนุษยชน หรือการส่งเสริมอื่นๆ ถูกบั่นทอน อาจส่งผลกระทบต่อทั้งการเมืองภายใน และการเมืองระหว่างประเทศ โดยเฉพาะพันธมิตรของสหรัฐที่เป็นตัวช่วยสร้างเสถียรภาพ ความมั่นคง และเศรษฐกิจให้สหรัฐ

นอกจากนี้ การไม่มีสหรัฐสนับสนุนกฎระเบียบเสาหลักที่สำคัญระดับโลกแล้ว ในที่สุดการเมืองระหว่างประเทศจะกลายเป็น “จีซีโร่” คือ ไม่มีผู้นำที่ทำให้สถานการณ์โลกผันผวนไปตามการเมืองภายในของสหรัฐ

“การตัดสินใจของผู้นำที่ไม่ค่อยมีการดีเบตกันมากนัก ค่อนข้างสุ่มเสี่ยงต่อการทำให้นโยบายบางอย่างมันเลยเถิด โดยเฉพาะความขัดแย้งกับจีนก็อาจจะเพิ่มขึ้น อาจจะส่งผลกระทบโดยเฉพาะในเอเชียที่มีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการเมืองกับจีนค่อนข้างสูง และแม้มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ ไม่ต้องการให้เกิดสงครามเย็น แต่ในที่สุดแล้วนโยบายหลายรายการของทรัมป์จะทำให้เราต้องคิดหาแนวทางรับมือ” ผศ.ดร. พงศ์พิสุทธิ์ กล่าว

ข้อดี คือ ความขัดแย้งและสงครามที่เกิดขึ้นในปัจจุบันอาจบรรเทาลง แต่ความขัดแย้งเหล่านั้นจะไม่หายไป แม้ทรัมป์หาเสียงว่าจะให้สงครามยูเครน-รัสเซีย ยุติลงโดยเร็ว แต่การเจรจายังไม่คืบหน้า และประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย ยังคงไม่ตกลงอะไรกับสหรัฐ ส่วนการตกลงหยุดยิงระหว่างอิราเอลและฮามาสยังคงไม่แน่นอน เพราะเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล ไม่ลังเลที่จะตอบโต้กลับต่อสิ่งที่กระทบผลประโยชน์ของอิสราเอล ดังนั้น อาจจะเป็นผลดีเพียงระยะสั้น

พงศ์พิสุทธิ์เผยว่า ข้อดีอีกประการคือ เราสามารถอ่านเกมทรัมป์ได้ว่า "ควรใช้การเจรจา" เพื่อแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน ดังนั้น การที่ทรัมป์คืนสู่อำนาจ จะทำให้ไทยมีโอกาสปรับเปลี่ยนและพัฒนากระบวนการผลิต สร้างความหลากหลายให้ตลาด และลดการพึ่งพาการส่งออกไปยังสหรัฐ

สำหรับสาเหตุทำไมสหรัฐเน้นพัฒนาขีดความสามารถทางเทคโนโลยี ปัจจัยหลักก็คือ จีน

ผศ.ดร. พงศ์พิสุทธิ์ ้เล่าย้อนไปในช่วงปลายสงครามเย็น โดยบอกว่าช่วงนั้นสหภาพโซเวียตเข้าไปพัวพันสงครามอัฟกานิสถาน ทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ตกต่ำ ส่วนสหรัฐไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องโดยตรง และมีช่วงเวลาค่อนข้างยาวนานที่ทำให้สหรัฐได้พัฒนาเทคโนโลยี โดยเฉพาะอาวุธยุทโธปกรณ์ ในที่สุดก็นำสหรัฐไปสู่ความเหนือกว่าด้านเทคโนโลยีในช่วงก่อนสงครามเย็นยุติ หลังจากนั้นสหภาพโซเวียตก็ล่มสลาย 

อาจารย์จากจุฬาฯ กล่าวว่า ผู้นำสหรัฐได้เรียนรู้จากประสบการณ์ดังกล่าว โดยมองว่าหากปล่อยให้จีนมีโอกาสพัฒนาเทคโนโลยีล้ำสมัย และแข่งขันกับสหรัฐได้ สหรัฐอาจล่มสลาย หรือพ่ายแพ้ในการแข่งขันระหว่างมหาอำนาจในอนาคต

ส่วนประเด็นไต้หวัน อาจารย์พงศ์พิสุทธิ์บอกว่า นโยบายต่างประเทศและนโยบายความมั่นคงของสหรัฐยังคงให้ความสำคัญในเอเชียแปซิฟิก ถ้าสงครามนอกเอเชียแปซิฟิกสงบ ทรัมป์จะหันมาสนใจภูมิภาคนี้มากขึ้น และแบ่งทรัพยากรมาให้ภูมิภาคนี้ที่มีจีนเป็นเป้าหมายสำคัญ

เมื่อถามถึงความสำคัญของอาเซียนในสายตาสหรัฐ ผศ.ดร. พงศ์พิสุทธิ์มองว่า ภูมิภาคอาจเห็นว่าทรัมป์ยังไม่สนับสนุน แต่อาเซียนสามารถเป็นไพ่ต่อรองกับจีนเพื่อให้ได้ผลประโยชน์ แต่หากต่อรองกับสหรัฐได้ไม่ดี สหรัฐอาจไม่สนใจมากนัก

นอกจากนี้ อาเซียนยังไม่มีความเข้มแข็ง เนื่องจากปัญหาภายในกลุ่มยังไม่สามารถแก้ไขได้ เช่น ความขัดแย้งในเมียนมา ขณะที่แต่ละประเทศก็มีความสัมพันธ์กับสหรัฐและจีนแตกต่างกันไป สหรัฐอาจไม่สนใจอาเซียนมาก หากภูมิภาคนี้ไม่ได้ตอบรับสหรัฐอย่างแข็งขันในอนาคต

“อาเซียนไม่ได้อยู่ในสายตาสหรัฐ ขึ้นอยู่กับผลประโยชน์มากกกว่า แม้แต่ไบเดนก็ไม่ค่อยมางาน เช่นงานประชุมสุดยอดอาเซียน กลุ่มอาเซียนก็ไม่ค่อยเข้มแข็ง หากจะมาทำอะไรกับอาเซียน ก็ต้องคุยกัน แต่ก็ไม่เห็นมีอะไรช่วยสหรัฐได้ เราต้องทำให้กลุ่มเข้มแข็ง” พงศ์พิสุทธิ์ ย้ำ