รู้จัก ‘วิลเลียม แมกคินลีย์’ ต้นแบบของ ทรัมป์ 2.0 ?

รู้จัก ‘วิลเลียม แมกคินลีย์’ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐ ที่ว่ากันว่าเป็น ต้นแบบของ ทรัมป์ 2.0 เพราะมีนโยบายด้านภาษีและการขยายอาณานิคมที่คล้ายคลึงกัน
หลังจากการสาบานตนรับตำแหน่งของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีคนที่ 47 ของสหรัฐเพียงไม่ถึง 24 ชั่วโมง ประธานาธิบดีสหรัฐผู้นี้ก็ประกาศ "คำสั่งพิเศษของผู้นำประเทศ" หรือ Executive Order หลายร้อยฉบับซึ่งรวมถึงคำสั่งด้านภาษี
นักวิชาการส่วนหนึ่งมองว่า ท่าทีการดำเนินนโยบายของทรัมป์มีความคล้ายคลึงกัน "วิลเลียม แมกคินลีย์" ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาในช่วง ค.ศ. 1897 – 1901 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นเรื่องภาษีและการขยายอาณานิคม
นายบุรินณ์ อดุลวัฒนะ กรรมการผู้จัดการ และ Chief Economist บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวเมื่อวานนี้ (22 ม.ค.) ในงานเสวนาโต๊ะกลม หัวข้อ "Geopolitics 2025 | TRUMP 2.0 : The Global Shake Up" ว่า ทรัมป์ได้พยายามสร้างโมเดลตัวเองตามแบบประธานาธิบดีแมคเคนลีย์ โดยเฉพาะในสองด้านหลัก ได้แก่ นโยบายการขยายอาณานิคม (Imperialism) และนโยบายภาษีศุลกากร (Tariff)
ในยุคแมคเคนลีย์ สหรัฐฯ ได้ขยายดินแดนไปยังเปอร์โตริโกและฟิลิปปินส์ ในด้านภาษีศุลกากร แมคเคนลีย์เคยขึ้นภาษีถึง 50% ของมูลค่าสินค้านำเข้า ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับทรัมป์ที่มีแนวคิดจะขึ้นภาษีจีน 60% โดยจะจัดตั้งองค์กร "External Revenue Service" เพื่อจัดเก็บภาษีศุลกากรโดยเฉพาะ
นอกจากนี้ ทรัมป์ยังให้ความสำคัญกับการคุ้มครองอุตสาหกรรมเชิงยุทธศาสตร์ เช่น แบตเตอรี่ โซลาร์พาเนล และเซมิคอนดักเตอร์ อีกด้วย
ด้านนายปิติ ศรีแสงนาม ผู้อำนวยการ (ผอ) บริหาร มูลนิธิอาเซียน ณ กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย เสริมว่า แม้ทรัมป์จะมีแมคเคนลีย์เป็นไอดอล แต่คงไม่อยากจบแบบแมคเคนลีย์ที่ถูกลอบสังหาร
ปัจจุบันทรัมป์กำลังนำพาอเมริกาไปสู่ความเป็น "จักรวรรดินิยมในรูปแบบใหม่" ผ่านสงครามการค้า 3 ระลอก ได้แก่ สงครามการค้า 1.0 ในยุคทรัมป์สมัยแรกที่เน้นมาตรการภาษี สงครามการค้า 2.0 ในยุคไบเดนที่เน้นการควบคุมห่วงโซ่อุปทาน และสงครามการค้า 3.0 ในยุคทรัมป์สมัยที่สองที่จะเน้นการควบคุมเส้นทางการค้าทางทะเล (Sea Power) โดยเฉพาะจุดยุทธศาสตร์สำคัญ เช่น คลองปานามา เส้นทางการค้าขั้วโลกเหนือผ่านกรีนแลนด์ คลองสุเอซ และช่องแคบมะละกา
นายปิติยังชี้ให้เห็นว่า นโยบายของทรัมป์ยังครอบคลุมถึงพื้นที่ใหม่ๆ เช่น การทำเหมืองแร่ใต้ทะเล เศรษฐกิจระดับต่ำ (Low Altitude Economy) ผ่านเทคโนโลยีโดรน การแข่งขันด้านการบินและอวกาศ รวมถึงการตั้งสถานีอวกาศเพื่อใช้เป็นฐานในการเดินทางไปดาวอังคาร ซึ่งทั้งหมดนี้จะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงและเศรษฐกิจโลกในอนาคต
ทั้งสองท่านเห็นตรงกันว่า แม้ทรัมป์จะได้แรงบันดาลใจจากแมคเคนลีย์ แต่การใช้นโยบายในปัจจุบันมีความซับซ้อนมากขึ้น โดยพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ เช่น ความเป็นเจ้าของกิจการ ความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ของสินค้า และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ รวมถึงการขยายอิทธิพลที่ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การยึดครองดินแดนแบบดั้งเดิม แต่รวมถึงการควบคุมเส้นทางการค้า เทคโนโลยี และทรัพยากรสำคัญของโลกด้วย
ช่วงชีวิตการเป็นประธานาธิบดีของ ‘วิลเลียม แมกคินลีย์’
ทั้งนี้ สารานุกรมบริแทนนิกา เปิดเผยว่า ตำแหน่งประธานาธิบดีของแมคคินลีย์เป็น "จุดเปลี่ยนสำคัญในประวัติศาสตร์อเมริกา" เชื่อมต่อระหว่างศตวรรษที่ 19 และ 20 การรณรงค์หาเสียงแบบ "Front Porch" หรือการหาเสียงแบบเป็นกันเองและเดินไปหน้าระเบียงบ้านเพื่อพูดคุยกับประชาชน ซึ่ง ณ ตอนนั้นเป็นนวัตกรรมใหม่และความเชี่ยวชาญในเทคนิคการหาเสียงสมัยใหม่ช่วยให้เขาได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง
ในขณะที่การดำรงตำแหน่งของเขาได้กำกับดูแลการพัฒนาที่สำคัญทั้งในด้านนโยบายภายในประเทศและต่างประเทศ แม้ว่านักวิจารณ์จะมองว่าเขาถูกควบคุมโดย “ผลประโยชน์ทางธุรกิจ” แต่แมคคินลีย์ก็แสดงให้เห็นถึงความเป็นอิสระในจุดยืนต่อต้านการผูกขาดทางธุรกิจ การบริหารงานของเขาได้ทำให้การดำเนินงานและการสื่อสารของทำเนียบขาวทันสมัยขึ้น แม้ว่าเขาจะยังคงรักษาศักดิ์ศรีของประธานาธิบดีบางประการไว้
ที่สำคัญที่สุด สงครามสเปน-อเมริกันได้เปลี่ยนแปลงบทบาทของอเมริกาในกิจการระดับโลก นำไปสู่การขยายดินแดนและการก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจโลกของสหรัฐอเมริกา การลอบสังหารแมคคินลีย์ในปี 1901 ได้ตัดวาระที่สองของเขาให้สั้นลงในช่วงที่ประเทศกำลังรุ่งเรือง ทำให้เขาเป็นประธานาธิบดีคนที่สามของสหรัฐฯ ที่เสียชีวิตจากการถูกลอบสังหาร
นโยบายภาษีของเขาประกอบด้วย
- ทันทีที่เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี แมคคินลีย์ได้เรียกประชุมพิเศษรัฐสภา
- เขาประกาศใช้สิ่งที่เรียกว่า "ภาษีศุลกากรที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศ"
- สิ่งนี้สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อธุรกิจ นำไปสู่การเติบโตทางอุตสาหกรรมและการรวมตัวทางธุรกิจที่ไม่เคยมีมาก่อน
- การที่เขาเน้นนโยบาย "The Full Dinner Pail" หรือนโยบายเสริมความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจในการหาเสียงเลือกตั้งครั้งที่สอง แสดงให้เห็นถึงนโยบายที่มุ่งเน้นความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ
ด้านนโยบายจักรวรรดินิยม/นโยบายต่างประเทศของวิลเลี่ยมประกอบด้วย
- การขยายอำนาจจักรวรรดิที่สำคัญเกิดขึ้นผ่านสงครามสเปน-อเมริกันและผลที่ตามมา
- หลังสงคราม 100 วัน สหรัฐอเมริกา:
- ยึดครองมะนิลาในฟิลิปปินส์
- ยึดครองเปอร์โตริโก
- ต่อมาได้ผนวกฟิลิปปินส์ กวม และเปอร์โตริโกอย่างเป็นทางการ
- การขยายอำนาจนี้เป็นประเด็นขัดแย้ง ดังจะเห็นได้จากการรณรงค์ต่อต้านลัทธิจักรวรรดินิยมของวิลเลียม เจนนิงส์ ไบรอันในการเลือกตั้งปี 1900
- การขยายอำนาจนี้ถูกขับเคลื่อนบางส่วนโดยผลประโยชน์ทางธุรกิจ โดยบทความได้กล่าวถึงความสูญเสียทางธุรกิจของอเมริกากว่า 16 ล้านดอลลาร์จากการปฏิวัติในคิวบา
ท้ายที่สุด แมคคินลีย์ดูเหมือนจะดำเนินนโยบายที่ทั้งเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับผลประโยชน์ทางธุรกิจของอเมริกาภายในประเทศ (ผ่านภาษีศุลกากรที่สูง) และขยายการควบคุมดินแดนของอเมริกาในระดับนานาชาติ แม้ว่าประเด็นหลังจะได้รับอิทธิพลจากเหตุการณ์ต่างๆ (โดยเฉพาะการระเบิดของเรือเมนและแรงกดดันจากหนังสือพิมพ์) มากกว่าเป้าหมายนโยบายในตอนแรก
อ้างอิง: Britannica