"นักวิชาการ" ชี้ "ทรัมป์ ซินโดรม" สร้างแรงสะเทือนการเมือง-เศรษฐกิจโลก

“ศ.ดร.เกรียงศักดิ์” เปรียบ ปรากฏการเข้ารับตำแหน่งของ “ทรัมป์” รอบ 2 เป็นภูเขาไฟระเบิดครั้งใหญ่ทางการเมืองทั่วโลก ชี้ “ทรัมป์ ซินโดรม” สร้างแรงสะเทือนอย่างมากแน่นอน จับตา เตรียมภารกิจ เตะตัดขาสกัด “จีน”
ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ ประธานสถาบันการสร้างชาติ ประธานสถาบันอนาคตศึกษาเพื่อการพัฒนา และนักวิชาการอาวุโส มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐอเมริกา เปิดเผยหลังนายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้กล่าวสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา จะเกิดผลกระทบกับการเมืองเศรษฐกิจโลกโดยได้วิเคราะห์ได้ 5 ประเด็นหลัก ว่า
1. แนวคิดของทรัมป์: การวางสหรัฐฯ เป็นศูนย์กลางของโลก
แนวคิด "Make America Great Again" และ “America First” ของโดนัลด์ ทรัมป์ ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นอุดมการณ์ที่มีรากฐานยาวนานในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ ซึ่งกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้งในบริบทโลกยุคปัจจุบัน ทรัมป์มุ่งเน้นผลประโยชน์ของสหรัฐฯ เหนือการร่วมมือในระดับนานาชาติ ซึ่งช่วยให้เขาชนะการเลือกตั้งครั้งแรก และได้รับการสนับสนุนต่อเนื่องในยุคปัจจุบัน โดยในอดีตโลกเคยเป็นระบอบขั้วเดียวที่สหรัฐฯ ครองความเป็นผู้นำสูงสุดหลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียต สหรัฐฯ ใช้ Washington Consensus ขับเคลื่อนกระแสโลกาภิวัตน์โดยมีตนเองเป็นศูนย์กลาง แต่สถานการณ์เปลี่ยนไปเมื่อจีนเริ่มผงาดขึ้นเป็นมหาอำนาจอันดับสอง ด้วยขนาดเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างรวดเร็ว จนนำไปสู่อิทธิพลทางสังคมและการเมือง
ยุคของทรัมป์จึงสะท้อนการพยายามฟื้นฟูความเป็นมหาอำนาจเดี่ยวของสหรัฐฯ ผ่านสิ่งที่เรียกว่า "ทรัมป์ซินโดรม" (Trump Syndrome) ซึ่งผมมองว่าเป็นปรากฏการณ์แห่งยุคที่เกิดจากความกลัวของสหรัฐฯ ต่อการสูญเสียสถานะผู้นำโลก แนวทางของทรัมป์ที่เรียกว่า "ทรัมป์ปริซึม" (Trumpism) หรือลัทธิทรัมป์ได้หลอมรวมอุดมการณ์และนโยบายในรูปแบบอาณานิคมสมัยใหม่ (Neo-Imperialism) เพื่อยืดระยะเวลาความเป็นเบอร์หนึ่งบนโลกของสหรัฐฯ
2. การเมืองโลก: สหรัฐฯ จะทำเฉพาะสิ่งที่สร้างผลประโยชน์ชัดเจน ในยุคของทรัมป์ สหรัฐฯ จะเน้นดำเนินการเฉพาะนโยบายที่สร้างผลประโยชน์ในระยะสั้นอย่างชัดเจน หากความร่วมมือใดไม่ได้ให้ผลลัพธ์ที่พึงพอใจ สหรัฐฯ จะลดความสำคัญลง หรือเพิกเฉยไป
แนวทางสำคัญคือการสกัดการเติบโตของจีน เช่น การต่อต้านของสหรัฐฯในโครงการ Belt and Road Initiative (BRI) และกลุ่ม BRICS โดยสหรัฐฯ ใช้วิธีทั้งการโจมตีอย่างเปิดเผยและการแทรกแซงทางเศรษฐกิจ อาทิ การขู่เข้าควบคุมคลองปานามาและกรีนแลนด์ในด้านต่างๆ เช่น ด้านเศรษฐกิจ เพื่อเพิ่มอำนาจให้ตนเอง
ในกรณีรัสเซีย ซึ่งเคยเป็นคู่แข่งสำคัญ ทรัมป์ใช้แนวทางที่แตกต่างโดยพยายามดึงรัสเซียให้ห่างจากจีน เช่น การเสนอเจรจาผ่อนปรนและยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครน เพื่อสร้างสมดุลทางอำนาจที่เป็นประโยชน์ต่อสหรัฐฯ
3. สถานะของสหรัฐฯ: อำนาจเหนือจีนในทุกมิติเงินดอลลาร์ยังคงเป็นสกุลเงินหลักของโลก แม้ว่าสกุลอื่นๆหลายสกุลรวมถึงสกุลเงินหยวนของจีนจะเพิ่มบทบาทในตลาดโลก แต่ยังไม่สามารถแทนที่ดอลลาร์ได้ สหรัฐฯ ยังคงใช้อำนาจทางเศรษฐกิจ เช่น การตั้งกำแพงภาษีและการคว่ำบาตร เพื่อรักษาความได้เปรียบ ข้อสังเกตหนึ่งที่ผมได้วิเคราะห์ไว้คือ สหรัฐฯได้ดำเนินนโยบายที่ทำให้จีนอ่อนกำลังอย่างเห็นผล โดยใช้สงครามการค้าและการเมือง
อาทิ นโยบายการสกัดนักศึกษาจีนไม่ให้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยชั้นนำหรือไม่ให้เข้าทำงานในบริษัทเทคฯของสหรัฐ ย้ายฐานการผลิตสัญชาติอเมริกันและกดดันนักลงทุนประเทศอื่นๆออกจากจีน เป็นต้น ผมเรียกว่ายุทธศาสตร์นี้ว่า “เตะตัดขาสัมฤทธิ์ผล” เห็นได้ชัดจากการเติบโตช้าลงของเศรษฐกิจจีนและปัญหาเศรษฐกิจภายในของจีนเองที่กำลังก่อตัวขึ้น
4. ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก: ความเปราะบางในยุคของทรัมป์
นโยบายของทรัมป์จะสร้างแรงกระเพื่อมต่อเศรษฐกิจโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้แต่สหรัฐฯ เองก็อาจได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน เช่นเดียวกับยุโรปที่เผชิญกับวิกฤตพลังงานและปัญหาเศรษฐกิจเดิมที่รุนแรงขึ้น สำหรับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประเทศในภูมิภาคนี้มีศักยภาพจำกัดในการต้านทานอิทธิพลของมหาอำนาจ จึงต้องหาจุดสมดุลระหว่างการเอียงข้างเล็กน้อยเพื่อความอยู่รอด
และ 5. แนวทางของไทยและอาเซียน อาเซียนยังคงเผชิญกับความท้าทายจากการขาดเอกภาพ ทำให้ไม่ได้รับความสนใจจากมหาอำนาจ แต่เพื่อป้องกันแรงกดดันทางเศรษฐกิจและการเมือง อาเซียนควรเจรจาแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กับมหาอำนาจอเมริกัน เพื่อป้องกันการถูกโดดเดี่ยว วางแผนกลยุทธ์ร่วมกัน และแยกบทบาทในการเจรจา เพื่อลดแรงกดดันจากทั้งสหรัฐฯ และจีน
"โดยสรุปการมาของทรัมป์ในครั้งนี้ไม่เพียงสะท้อนความเปลี่ยนแปลงในสหรัฐฯ แต่ยังสร้างผลกระทบต่อการเมืองและเศรษฐกิจโลกในวงกว้าง ประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะไทยและอาเซียน จำเป็นต้องเตรียมพร้อมรับมือกับปรากฏการณ์นี้อย่างรอบคอบ เพื่อรักษาผลประโยชน์สูงสุดในเวทีโลก"