ชาวอเมริกัน 50% มองจีนภัยคุกคามใหญ่สุดของประเทศ

ชาวอเมริกัน 50% มองจีนภัยคุกคามใหญ่สุดของประเทศ

ผลสำรวจใหม่ของศูนย์วิจัยพิว พบว่า ชาวอเมริกันครึ่งหนึ่งที่สำรวจมองจีนเป็นภัยคุกคามใหญ่สุดที่สหรัฐกำลังเผชิญ

Key Points:

  • ชาวอเมริกันครึ่งหนึ่งมองว่าจีนเป็นภัยคุกคามใหญ่สุดที่สหรัฐกำลังเผชิญ 
  • 17% เท่านั้นที่ระบุว่า รัสเซียเป็นภัยคุกคามใหญ่สุด น้อยกว่าจีนเกือบสามเท่า
  • แม้ยากเปรียบเทียบกับปีก่อนๆ แต่ชาวอเมริกันไม่เคยมองจีนเป็นภัยคุกคามสูงสุดแบบนี้มาก่อน 

เว็บไซต์ซีเอ็นบีซีรายงาน ศูนย์วิจัยพิวเผยแพร่ผลการวิจัยล่าสุดเมื่อวันพฤหัสบดี (27 ก.ค.) ตามเวลาท้องถิ่น เป็นการตั้งคำถามปลายเปิดให้ระบุชื่อประเทศที่เป็นภัยคุกคามใหญ่สุดต่อสหรัฐ 50% ตอบว่า จีน มากกว่าผู้ที่ระบุชื่อรัสเซีย (17%) เกือบสามเท่า

แม้ยากจะเปรียบเทียบปฏิกิริยาผู้คนในแต่ละปีพิวตั้งข้อสังเกตว่า“ชาวอเมริกันไม่ค่อยมองจีนเป็นภัยคุกคามอันดับต้นๆ ของสหรัฐ” ตอนที่พิวถามคำถามแบบนี้ครั้งสุดท้ายในปี 2562 ชาวอเมริกันระบุจีนและรัสเซียเป็นภัยคุกคามใหญ่สุดในสัดส่วนเท่ากัน

ผลการสำรวจครั้งนี้ซึ่งสอบถามผู้ใหญ่ 3,500 คนในสหรัฐระหว่างวันที่ 20-26 มี.ค.2566 สะท้อนมุมมองชาวอเมริกันต่อจีนในทางลบมากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป โดยเฉพาะนับตั้งแต่ปี 2563

ลอรา แคลนซี นักวิเคราะห์จากศูนย์วิจัยพิว ระบุ

“สัดส่วนชาวอเมริกันที่มีความเห็นไม่ชอบจีนเพิ่มจาก 79% ในปี 2563 มาอยู่ที่ 83% ในปี 2566 ในตอนนั้นศูนย์ถามหลายหัวข้อเป็นพิเศษ เช่น การเป็นพันธมิตรระหว่างจีนกับรัสเซีย ซึ่ง 62% เรียกว่า เป็นภัยคุกคามร้ายแรงมากต่อสหรัฐ”

สัมพันธ์ขม

สัมพันธ์สหรัฐ-จีน เพิ่งถึงจุดต่ำสุดในรอบหลายปีเมื่อเร็วๆ นี้ ความตึงเครียดบานปลายจากกรณีบอลลูนจีนต้องสงสัยสอดแนมบินเหนือท้องฟ้าสหรัฐ ขณะที่การห้ำหั่นชิงความเป็นเจ้าด้านเทคโนโลยีทำให้สองมหาอำนาจเศรษฐกิจออกมาตรการเล่นงานกัน เช่น การค้าและข้อจำกัดการลงทุนในภาคส่วนเทคโนโลยี การที่รัฐบาลปักกิ่งใกล้ชิดกับรัสเซียมากขึ้นนับตั้งแต่เริ่มสงครามยูเครนและการที่จีนแข็งกร้าวต่อเนื่องกรณีไต้หวัน ทั้งหมดนี้ทำให้ความสัมพันธ์สหรัฐ-จีน ระอุ

“เราขอให้ชาวอเมริกันระบุปัญหาในความสัมพันธ์สหรัฐ-จีน เช่น นโยบายจีนด้านสิทธิมนุษยชน และอำนาจทางเทคโนโลยีที่เพิ่มมากขึ้น โดยทั่วไปคนที่มองว่าปัญหาเหล่านี้เป็นเรื่องซีเรียสมากมักมองจีนเป็นลบมากขึ้นด้วย” แคลนซีขยายความ

ผู้ให้ข้อมูลส่วนใหญ่มองด้วยว่า จีนเป็นภัยคุกคามด้านเศรษฐกิจและความมั่นคงแห่งชาติ 78% กล่าวว่า ปักกิ่งเป็นภัยคุกคามสำคัญต่อเศรฐกิจสหรัฐ 73% มองว่าเป็นภัยคุกคามสำคัญด้านความมั่นคง

ในทางตรงข้าม 36% เท่านั้นที่มองว่ารัสเซียเป็นภัยคุกคามสำคัญทางเศรษฐกิจ 66% มองว่าเป็นภัยคุกคามสำคัญด้านความมั่นคง

ปรับสัมพันธ์

ผลสำรวจของพิวเกิดขึ้นหลังสหรัฐกับจีนติดต่อกันช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ตั้งใจปรับสัมพันธ์ให้ราบรื่น

สัปดาห์ก่อน เฮนรี คิสซิงเจอร์ นักการทูตมือฉมังของสหรัฐพบประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ระหว่างการไปเยือนปักกิ่งแบบเซอร์ไพรส์ การต้อนรับอันอบอุ่นที่ปักกิ่งมีให้คิสซิงเจอร์ถือเป็นตัวอย่างล่าสุดบ่งบอกความพยายามของจีนที่ไปไกลกว่าช่องทางทางการทูตเพื่อให้มีอิทธิพลเหนือวอชิงตัน

รัฐบาลประธานาธิบดีโจ ไบเดน พยายามรื้อฟื้นการติดต่อในระดับสูงเช่นกัน เมื่อเร็วๆ นี้แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ, เจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และจอห์น แคร์รี ทูตพิเศษด้านสภาพภูมิอากาศของประธานาธิบดีก็เพิ่งไปปักกิ่ง

การพบกันนาทีสุดท้ายของบลิงเคนกับสีถูกมองว่า แข็งแกร่งแต่ประนีประนอม เดิมทีเขาวางแผนไปปักกิ่งในเดือน ก.พ. แต่ต้องเลื่อนจากเหตุบอลลูนจีน

เมื่อไม่นานมานี้ โจว จื้อชิง นักวิเคราะห์การเมืองชาวจีน แสดงความเห็นผ่านวีแชตว่า ความตึงเครียดระหว่างทั้งสองฝ่ายอาจบรรเทาได้ถ้ารับฟังผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการรุ่นใหม่ด้านจีนของสหรัฐมากขึ้น

“ชาวอเมริกันเหล่านี้ศึกษาความสัมพันธ์จีน-สหรัฐในทุกมิติ พวกเขาพูดจีนคล่อง ดีกว่าคนรุ่นก่อน กลุ่มนักยุทธศาสตร์หนุ่มสาวผู้เข้าใจจีนอย่างแท้จริงกำลังเกิดขึ้นในสหรัฐ ปัญหาของเราคือ หนึ่ง เราไม่เคยเข้าใจคนกลุ่มนี้จริงๆ เลย สอง เราไม่มีการติดต่อกับคนหนุ่มสาว  ช่องว่างนี้น่ากลัวมาก!”