อิสราเอลประท้วงครั้งใหญ่หลายแสนคน ต้านปฏิรูปศาล-สกัดระบอบเผด็จการ

อิสราเอลประท้วงครั้งใหญ่หลายแสนคน ต้านปฏิรูปศาล-สกัดระบอบเผด็จการ

สำนักข่าวบีบีซีรายงานว่า ประชาชนอิสราเอลนับแสน เข้าร่วมประท้วงครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย หลังรัฐบาลเตรียมปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม เสี่ยงพาประเทศเข้าสู่ระบอบเผด็จการ

ผู้จัดกลุ่มประท้วง เผยว่า ผู้ประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตยราว 500,000 คน ลงถนนทั่วประเทศเมื่อวันเสาร์ (11 มี.ค.) ซึ่งสำนักข่าวฮาเร็ตส์ของอิสราเอล ขนานนามว่า เป็นการเดินขบวนครั้งใหญ่ที่สุดแห่งประวัติศาสตร์ในประเทศ 

จำนวนผู้ประท้วงมากเป็นประวัติการณ์มีอยู่หลายเมือง เช่น เมืองไฮฟา และเชื่อว่าผู้ประท้วงลงถนนในเมืองเทลอาวีฟกว่า 200,000 คน เนื่องจากนักวิจารณ์บอกว่า การปฏิรูประบบศาลอาจทำลายประชาธิปไตย

ผู้นำฝ่ายค้าน "แยร์ ลาปิด" บอกกลุ่มผู้ชุมนุมในเมืองเบียร์ชีบาทางตอนใต้ของอิสราเอลว่า ประเทศกำลังเผชิญวิกฤตครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์

 

อิสราเอลประท้วงครั้งใหญ่หลายแสนคน ต้านปฏิรูปศาล-สกัดระบอบเผด็จการ

 

"ทาเมียร์ กายซาบรี" ผู้ประท้วงในเทลอาวีฟ ให้สัมภาษณ์กับรอยเตอร์ว่า “นี่ไม่ใช่การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม แต่เป็นการปฏิรูปที่ทำให้อิสราเอลเข้าสู่ระบอบเผด็จการเต็มรูปแบบ และเราต้องการให้ประเทศยังคงเป็นประชาธิปไตยเพื่อลูกหลานของเรา”

รัฐบาลของเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล กล่าวว่า แผนปฏิรูปนั้นดีต่อผู้มีสิทธิเลือกตั้ง และออกแบบมาเพื่อยับยั้งไม่ให้ศาลใช้อำนาจมากเกินไป 

แต่นักวิจารณ์ย้ำว่า แผนปฎิรูปจะทำให้กระบวนการยุติธรรมเป็นเรื่องของการเมืองและอาจนำไปสู่รัฐบาลเผด็จการ

 

อิสราเอลประท้วงครั้งใหญ่หลายแสนคน ต้านปฏิรูปศาล-สกัดระบอบเผด็จการ

 

ทั้งนี้ การประท้วงต่อต้านแผนยกเครื่องระบบตุลาการของรัฐบาลเกิดขึ้นมานานติดต่อกัน 10 สัปดาห์แล้ว และการปฎิรูปก่อให้เกิดความแตกแยกร้าวลึกในสังคมอิสราเอล โดยเห็นได้จากทหารกองหนุน กระดูกสันหลังของกองทัพอิสราเอล ขู่ปฏิเสธปฏิบัติหน้าที่ เพื่อแสดงการไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล

เมื่อวันจันทร์ (6 มี.ค.) นักบินขับไล่หลายสิบนายในกองทัพอากาศชั้นสูงของอิสราเอล ไม่รายงานตัวฝึกซ้อม เป็นความเคลื่อนไหวอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่หลังจากนั้นกลับมาฝึกซ้อมและตกลงเข้าร่วมพูดคุยกับผู้บัญชาการ

ส่วนวันพฤหัสบดี (9 มี.ค.) ผู้ประท้วงหลายคนปิดถนนและพยายามสกัดเนทันยาฮู ไม่ให้ออกนอกประเทศ แต่หลังจากนั้นนายกฯ เดินทางไปกรุงโรม ประเทศอิตาลี