ซอฟต์พาวเวอร์ "เกาหลีใต้" โมเดลกระตุ้นเศรษฐกิจไทย
“เคป๊อป” จัดเป็นซอฟต์พาวเวอร์อันทรงพลังและสร้างรายได้มหาศาลแก่เกาหลีใต้ แต่ในช่วงที่หลายประเทศเร่งหาแนวทางฟื้นฟูเศรษฐกิจย่ำแย่เพราะผลกระทบโรคระบาดใหญ่ ทำให้การขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยใช้ซอฟต์พาวเวอร์เป็นตัวนำ กลายเป็น“โมเดล”ที่หลายประเทศหยิบมาใช้ รวมทั้งไทย
ตอนนี้ "เคป๊อป" กลายเป็นโมเดลให้กับไทยได้ปรับตัวและพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์ มาใช้ในการพัฒนาธุรกิจบันเทิงให้หลากหลาย และมีความเป็นสากลมากขึ้น ทั้งยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับเด็กไทยที่พัฒนาความสามารถของตนเอง จนขณะนี้เป็นที่รู้จักในวงการบันเทิงระหว่างประเทศอย่างนิชคุณวงบอยแบนด์เกาหลีใต้“ทูพีเอ็ม”,ลิซ่า แบล็คพิ้ง ,กันต์พิมุกต์ แบมแบมวงก็อตเซเวน โดยเรียกได้ว่าพวกเขาเหล่านี้เป็นศิลปินเชื่อมสัมพันธ์ไทย-เกาหลีได้อย่างแท้จริง
“โจ แจ อิล” ผู้อำนวยการศูนย์วัฒนธรรมเกาหลี ประจำประเทศไทย บอกว่า นับตั้งแต่ลิซ่าได้รับความนิยมอย่างล้นหลามจากเพลง “ลลิษา หรือลาลิซ่า” (Lalisa)ที่ผสมผสานระหว่างเคป็อปและวัฒนธรรมไทยเข้าด้วยกัน ยิ่งทำให้คนไทยจำนวนมากให้ความสนใจศิลปะที่ปลุกพลังจากซอฟต์พาวเวอร์
ขณะที่การกินข้าวเหนียวมะม่วงโชว์ของ “มิลลิ” แร็ปเปอร์สาวบนเวทีการแสดงในเทศกาลเพลงโคเชลลาที่สหรัฐ ยิ่งทำให้กระแสความสนใจซอฟต์พาวเวอร์ขยายวงกว้างขึ้น รวมทั้งเป็นโอกาสในหลายๆด้านโดยเฉพาะเป็นเครื่องมือช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจ หลังจากที่ทั่วโลกรวมทั้งไทย และเกาหลีใต้เผชิญโรคระบาดใหญ่โควิด-19
ศูนย์วัฒนธรรมเกาหลีประจำประเทศไทย จึงจัดงานแลกเปลี่ยนซอฟต์พาวเวอร์ไทยและเกาหลี ที่มีศิลปะหลายแขนงรวมอยู่ในซอฟต์พาวเวอร์นี้ หวังเชื่อมความสัมพันธ์ระดับประชาชนให้ได้เรียนรู้วัฒนธรรมระหว่างกัน ผ่านการแสดงและดนตรีที่เป็นเอกลักษณ์ประจำชาติของตนเองมาช่วยดำเนินเรื่องและเป็นสื่อกลางให้เข้าใจร่วมกัน
โจ มองว่า ซอฟต์พาวเวอร์ไทยโด่งดัง โดดเด่น และเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวต้องเผยแพร่และอนุรักษ์ไว้ เพราะนับวันจะยิ่งทรงคุณค่าและถือเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจด้วย แม้แต่คนเกาหลีเองยังชื่นชอบศิลปะ อาหาร สถานที่ท่องเที่ยวในไทย รวมทั้งกีฬาอย่างมวยไทยก็สุดยอด เทียบได้กับเทควันโดของเกาหลี
ส่วนในงานจัดแสดง แลกเปลี่ยนซอฟต์พาวเวอร์ระหว่างเกาหลีและไทย มีไฮไลท์อยู่ที่การแสดง“แทพยองมู” เป็นระบำเกาหลีที่มีความหมายลึกซึ้งสื่อถึงความสงบสุขและเจริญรุ่งเรือง แสดงโดย “เสกสม พานทอง” นาฏศิลป์ชำนาญการสำนักการสังคีต กรมศิลปกร กระทรวงวัฒนธรรมและเป็นผู้ที่เคยไปศึกษาเกี่ยวกับระบำเกาหลี
ในช่วงเวลา 5 เดือนที่เสกสมอาศัยอยู่ที่ประเทศเกาหลีใต้เมื่อปี 2561ได้เป็นตัวแทนประเทศไทยเข้าร่วมโครงการริเริ่มความร่วมมือด้านวัฒนธรรม (Cultural Partnership Initiative) โดยได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยวเกาหลีใต้
ในการแสดงระบำแทพยองมูที่จัดขึ้นนั้น เสกสมในชุดแต่งกายคน-รยง-โพได้รับบทเป็นราชา และมีธงสีเหลืองที่ช่วยปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย ขณะที่“นฤตย์ ทองอร่าม”จากสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์เป็นตัวแทนประเทศไทย ร่วมแสดงในชุดการแสดงโขนหนุมานที่คนเกาหลีต่างรู้จักดีเป็นตัวละครเอกในวรรณคดีไทย
ทั้งสองขึ้นไปร่ายรำร่วมในเวทีเดียวกัน และต่างทำทีแลกสอนการรำระหว่างกัน สื่อถึงวัฒนธรรมที่แตกต่าง แต่ก็สามารถผสมผสานให้เกิดความกลมเกลียวได้
ภายในงานยังมีการแสดงของ “โรสควอตซ์” เกิร์ลกรุ๊ปน้องใหม่ที่มีนักร้อง 4 คนจาก 3 สัญชาติเชื่อมความสัมพันธ์ไทย เกาหลี และเมียนมา ถือเป็นสัญลักษณ์ในโอกาสมาพบปะแฟนเพลงที่นี่ ในชุดฮันบกและได้เรียนรู้การเล่นคายากึม (เครื่องดนตรีประเภทสายคล้ายพิณ) ที่บรรเลงและขับกล่อมเป็นเพลง “อารีรัง” โดยมีชมรมดนตรีพื้นบ้านเกาหลี “ชองฮึงดุงดัง” จากศูนย์วัฒนธรรมเกาหลีเป็นช่วยฝึกสอนใกล้ชิด
โจ กล่าวทิ้งท้ายว่าถ้าหน่วยงานไทยให้โอกาสและเปิดกว้างให้ศิลปินคนรุ่นใหม่ได้สร้างสรรค์ผลงานอย่างเป็นอิสระเต็มที่ ภายใต้ความเหมาะสมและเคารพบริบททางสังคม อีกไม่นานซอฟต์พาวเวอร์ไทยจะสู้เกาหลีได้อย่างแน่นอน พร้อมกันนี้
ถึงอย่างไร คำว่า “ไฟท์ติ้ง” (fighting) ซึ่งเป็นสำนวนติดปากคนเกาหลี ไม่ได้มีไว้ปลุกใจไปสู้รบกับใครที่ไหน แต่อยากให้กำลังใจคนไทยสู้
