ไทยร่วมลงนามอนุสัญญา UN "ไชยชนก" จับมือนานาชาติ 68 ประเทศ สกัดภัยสแกมโลก

ไชยชนก ชิดชอบ” นำทีมไทยร่วมลงนามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านอาชญากรรมไซเบอร์ ณ กรุงฮานอย จับมือนานาชาติ 68 ประเทศและสหภาพยุโรป เดินหน้าปราบ “แก๊งสแกม–คอลเซ็นเตอร์” เต็มรูปแบบ ชูไทยพร้อมใช้ “ยาแรง” ควบคู่สร้างความร่วมมือระดับโลก สร้างสังคมดิจิทัลปลอดภัยอย่างยั่งยืน
KEY
POINTS
- รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอี เป็นตัวแทนประเทศไทยร่วมลงนามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านอาชญากรรมไซเบอร์ ร่วมกับอีก 68 ประเทศทั่วโลก ณ กรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม
- การลงนามครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศในการป้องกันและปราบปรามภัยสแกมและอาชญากรรมไซเบอร์ที่ทวีความซับซ้อนขึ้น
- รัฐบาลไทยได้ยกระดับการแก้ปัญหาการหลอกลวงออนไลน์ให้เป็น "วาระแห่งชาติ" โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานคณะกรรมการอำนวยการฯ
- ไทยได้ดำเนินมาตรการเชิงรุก 3 ด้านเพื่อสกัดกั้นภัยสแกม ได้แก่ การตัดสัญญาณชายแดน, การบูรณาการข้อมูลเพื่อติดตามเส้นทางการเงิน และการปรับปรุงกฎหมายให้เข้มข้นขึ้น
- ไทยยืนยันความพร้อมที่จะร่วมมือกับทุกประเทศ เพื่อขจัดภัยไซเบอร์ในทุกมิติ และสร้างโลกดิจิทัลที่ปลอดภัยสำหรับทุกคน
นายไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยภายหลัง เข้าร่วมพิธีลงนาม อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านอาชญากรรมไซเบอร์ (United Nations Convention against Cybercrime) และการประชุมระดับสูง (High-Level Conference) ซึ่งมีตัวแทนจาก 68 ประเทศทั่วโลก และสหภาพยุโรป (EU) เข้าร่วม ณ กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม โดยมีนายเลือง เกื่อง ประธานาธิบดีเวียดนาม และนายอันโตนิอู กุแตเรช เลขาธิการสหประชาชาติ เข้าร่วมเป็นสักขีพยาน
โดยระบุว่า การลงนามในอนุสัญญาฉบับนี้ถือเป็นความร่วมมือครั้งประวัติศาสตร์ของประชาคมโลก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์ที่ทวีความซับซ้อนขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยอนุสัญญาฯ มุ่งเน้นการสร้างกลไกความร่วมมือระหว่างประเทศ สนับสนุนการแลกเปลี่ยนข้อมูล การช่วยเหลือทางเทคนิค และการเสริมสร้างขีดความสามารถของประเทศกำลังพัฒนาให้สามารถรับมือกับภัยไซเบอร์ได้อย่างทันท่วงที
พร้อมกันนี้ ในระหว่างการประชุมระดับสูง นายไชยชนกได้กล่าวถ้อยแถลงต่อที่ประชุม โดยย้ำถึงความรุนแรงของปัญหาการหลอกลวงออนไลน์ที่สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนไทย รัฐบาลไทยภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล ได้กำหนดให้ปัญหานี้เป็น “วาระแห่งชาติ” และดำเนินมาตรการเชิงรุกเพื่อขจัดภัยสแกมอย่างเป็นระบบ
ทั้งนี้ รัฐบาลไทยได้ตั้งคณะกรรมการอำนวยการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน พร้อมขับเคลื่อนมาตรการหลัก 3 ด้าน ได้แก่
1. การตัดสัญญาณตามแนวชายแดน
สกัดการลักลอบเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือและอินเทอร์เน็ต ปิดช่องโหว่ไม่ให้สัญญาณรั่วไหลข้ามพรมแดน ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์จำนวนมาก
2. การบูรณาการข้อมูลร่วมระหว่างหน่วยงาน
พัฒนาฐานข้อมูลกลางแบบเรียลไทม์ เพื่อให้สามารถติดตามเส้นทางการเงินของผู้กระทำผิดและบัญชีม้าได้อย่างแม่นยำ พร้อมเร่งคืนเงินเยียวยาแก่ผู้เสียหายโดยเร็ว
3. การปรับปรุงกฎหมายและมาตรการตอบโต้
เร่งรัดแก้ไขพระราชกำหนดป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีฉบับใหม่ ให้เข้มข้นทั้งในด้าน “การป้องกัน ปราบปราม และตอบโต้” เพิ่มโทษผู้กระทำผิด และจัดตั้งหน่วยงานเฉพาะกิจภายใน 1–2 เดือน เพื่อจัดการคดีสแกมอย่างเร่งด่วน
ผมยืนยันว่าหากพบเจ้าหน้าที่รัฐ นักการเมือง หรือบุคลากรของรัฐเกี่ยวข้องกับขบวนการสแกมหรือการพนันออนไลน์ จะถูกดำเนินคดีอย่างเด็ดขาดไม่มีข้อยกเว้น
พร้อมกันนี้ รัฐบาลไทยยังแสดงความชื่นชมประเทศที่มีมาตรการเข้มงวดในการจัดการกับอาชญากรรมออนไลน์ อาทิ สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และเกาหลีใต้ พร้อมยืนยันความพร้อมของไทยที่จะร่วมมือกับทุกประเทศ เพื่อขจัดภัยไซเบอร์ในทุกมิติ
โดยการลงนามครั้งนี้ไม่เพียงสะท้อนจุดยืนของไทยในฐานะประเทศที่จริงจังต่อการต่อต้านอาชญากรรมไซเบอร์ แต่ยังเป็นก้าวสำคัญของความร่วมมือระหว่างประเทศ เพื่อสร้างโลกดิจิทัลที่ปลอดภัยและเชื่อถือได้ ไทยพร้อมเดินหน้าเต็มกำลังทั้งการใช้มาตรการเข้มและการสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ เพื่อปกป้องประชาชนและระบบเศรษฐกิจดิจิทัลให้มั่นคง







