สแตนฟอร์ดเปิด 30 อันดับประเทศ แข่งขันด้าน AI ใครพร้อมแค่ไหน?

สแตนฟอร์ดเปิด 30 อันดับประเทศ แข่งขันด้าน AI ใครพร้อมแค่ไหน?

มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดเผยผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันด้านเอไอ โดยสหรัฐครองอันดับหนึ่ง ตามมาด้วยจีน และอินเดีย

KEY

POINTS

  • มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดเผยผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันด้านเอไอ โดยสหรัฐครองอันดับหนึ่ง ตามมาด้วยจีนและอินเดีย
  • การจัดอันดับใช้เครื่องมือ Global AI Vibrancy Tool ซึ่งวัดผลจาก 42 ตัวชี้วัดที่ครอบคลุมทั้งด้านการวิจัย การลงทุน นโยบายรัฐ และโครงสร้างพื้นฐาน
  • การประเมินไม่ได้วัดแค่ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี แต่เน้นระบบนิเวศโดยรวมที่เอื้อต่อการเติบโตของเอไอซึ่งทำให้ประเทศขนาดเล็กที่มีนโยบายชัดเจนอย่างสิงคโปร์สามารถติดอันดับสูงได้

หากมองแผนที่โลกผ่านเลนส์ของปัญญาประดิษฐ์ในวันนี้ ภาพที่เห็นชัดขึ้นเรื่อยๆ คือการแข่งขันด้านเอไอไม่ได้เป็นเรื่องของประเทศใดประเทศหนึ่ง แต่เป็นสนามที่หลายรัฐทุ่มทรัพยากร นโยบาย และคนเก่งเข้าไปอย่างจริงจัง

รายงานที่จัดทำโดย อิสวาร์ดี อิชัก (Iswardi Ishak) โดยอ้างอิงข้อมูลจาก Global AI Vibrancy Tool ของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด พยายามตอบคำถามว่า “ประเทศใดมีความพร้อมด้านเอไอมากที่สุดในโลก?” 

Global AI Vibrancy Tool รวบรวมข้อมูลกว่า 42 ตัวชี้วัด ครอบคลุมตั้งแต่งานวิชาการ การลงทุน โครงสร้างพื้นฐาน นโยบายรัฐ ไปจนถึงทัศนคติของสังคมต่อเอไอ แล้วแปลงออกมาเป็นคะแนนที่เรียกว่า “ความสามารถด้านเอไอ” หรือ AI Vibrancy Score ซึ่งรายงานดังกล่าวถูกเผยแพร่เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2568

สแตนฟอร์ดเปิด 30 อันดับประเทศ แข่งขันด้าน AI ใครพร้อมแค่ไหน?

ผลการจัดอันดับระบุว่า สหรัฐครองอันดับหนึ่งด้วยคะแนน 78.6 ทิ้งห่างประเทศอื่นอย่างชัดเจน สะท้อนบทบาทผู้นำด้านเอไอของโลก ตามมาด้วยจีน อันดับสอง คะแนน 36.95 และอินเดีย อันดับสาม คะแนน 21.59 ทั้งสามประเทศนี้ถูกมองว่าเป็นศูนย์กลางหลักของการพัฒนาเอไอโลกในปัจจุบัน

สหรัฐทำคะแนนสูงจากความแข็งแกร่งของการลงทุนภาคเอกชน ระบบมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัย รวมถึงระบบนิเวศของสตาร์ตอัปเอไอที่เติบโตต่อเนื่อง 

ขณะที่จีนมีจุดเด่นด้านปริมาณงานวิจัย การยื่นจดสิทธิบัตร และการนำเอไอไปใช้งานจริงในภาคอุตสาหกรรมจำนวนมาก ส่วนอินเดียโดดเด่นจากฐานบุคลากรด้านเทคโนโลยีขนาดใหญ่และระบบดิจิทัลที่ขยายตัวรวดเร็ว

นอกเหนือจากสามอันดับแรก ประเทศขนาดกลางและขนาดเล็กหลายแห่งกลับทำคะแนนได้ใกล้เคียงกัน เช่น เกาหลีใต้ สหราชอาณาจักร สิงคโปร์ และสเปน ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า กลยุทธ์ระดับประเทศมีบทบาทสำคัญต่อความก้าวหน้าด้านเอไอไม่แพ้ขนาดเศรษฐกิจ 

สิงคโปร์ถูกยกเป็นตัวอย่างของประเทศที่ใช้นโยบายทดลองกำกับดูแล หรือ regulatory sandbox เพื่อเปิดทางให้เทคโนโลยีใหม่ถูกทดสอบและนำไปใช้จริง ขณะที่สเปนมีการผลักดันเอไอในภาครัฐอย่างเป็นระบบ

รายชื่อประเทศในอันดับ 10 ถึง 20 ประกอบด้วยญี่ปุ่น แคนาดา สวิตเซอร์แลนด์ ลักเซมเบิร์ก ฝรั่งเศส อิสราเอล และเยอรมนี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นประเทศรายได้สูงที่มีโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมานานแล้ว ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สิงคโปร์ติดอันดับ 6 ขณะที่มาเลเซีย อยู่ในอันดับ 26 ด้วยคะแนน 11.05

Global AI Vibrancy Tool ถูกออกแบบมาให้มองเอไอในฐานะระบบนิเวศ มากกว่าการแข่งกันด้านเทคนิคเพียงอย่างเดียว คะแนนรวมจึงสะท้อนทั้งนวัตกรรม ความพร้อมเชิงนโยบาย และการยอมรับของสังคม 

รายงานฉบับนี้ชี้ให้เห็นว่า ศูนย์กลางของเอไอโลกยังคงกระจุกตัวอยู่ในบางประเทศ แต่ในขณะเดียวกัน ประเทศขนาดเล็กที่มีนโยบายชัดเจนและลงทุนตรงจุด ก็สามารถขยับขึ้นมาอยู่ในกลุ่มผู้นำได้เช่นกัน 

อย่างไรก็ตาม ในภาพรวม การจัดอันดับดังกล่าวทำให้เห็นทิศทางการแข่งขันด้านเอไอของโลกว่า ไม่ได้วัดกันแค่ “ใครมีเทคโนโลยีล้ำที่สุด” แต่รวมถึง “ใครสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อเอไอได้มากที่สุด” ในระยะยาวด้วย

อ้างอิง: Ranked: AI Competitiveness by Country และ Stanford