ฉลาดใช้เทคโนโลยี : ปลดล็อกศักยภาพคน เสริมแกร่งอีโคซิสเต็ม  

ฉลาดใช้เทคโนโลยี : ปลดล็อกศักยภาพคน เสริมแกร่งอีโคซิสเต็ม  

ปัจจุบัน เทคโนโลยี คือ ตัวแปรสำคัญที่เข้ามาช่วยขับเคลื่อน และเสริมประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจในหลากหลายมิติ นอกจากการนำเทคโนโลยีมาใช้แก้ปัญหา (Pain Point) ของผู้ใช้บริการแล้ว เรายังนำเทคโนโลยีมาช่วยปลดล็อกการทำงานให้คนในอีโคซิสเต็มให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นด้วย

KEY

POINTS

  • เทคโนโลยี โดยเฉพาะ AI ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือสำคัญในการยกระดับและปลดล็อกศักยภาพของบุคลากรในอีโคซิสเต็มของธุรกิจ ตั้งแต่พนักงานไปจนถึงคู่ค้าและผู้ประกอบการรายย่อย
  • บริษัทชั้นนำอย่างวอลมาร์ต ยูนิลีเวอร์ และแกร็บ ได้นำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน เช่น การสื่อสาร การจัดสรรงาน และการให้คำปรึกษาทางธุรกิจแก่พาร์ทเนอร์
  • แกร็บได้พัฒนาเครื่องมือ AI เฉพาะทางเพื่อช่วยเหลือกลุ่มต่างๆ ในระบบนิเวศของตน ทั้งการฝึกอบรมพนักงาน การเพิ่มรายได้ให้คนขับ และการช่วยร้านค้าทำการตลาดผ่านผู้ช่วย AI
  • เป้าหมายหลักของการใช้เทคโนโลยีไม่ใช่เพื่อทดแทนมนุษย์ แต่เพื่อเสริมพลังให้คนทำงานได้ดีและฉลาดขึ้น สร้างการเติบโตที่ยั่งยืนไปพร้อมกันทั้งระบบ

ปัจจุบัน เทคโนโลยี คือ ตัวแปรสำคัญที่เข้ามาช่วยขับเคลื่อน และเสริมประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจในหลากหลายมิติ นอกจากการนำเทคโนโลยีมาใช้แก้ปัญหา (Pain Point) ของผู้ใช้บริการแล้ว เรายังนำเทคโนโลยีมาช่วยปลดล็อกการทำงานให้คนในอีโคซิสเต็มให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นด้วย เพราะโลกธุรกิจยุคดิจิทัล เทคโนโลยีไม่ใช่แค่เครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพของระบบ แต่คือพลังที่สามารถ “ยกระดับผู้คน” ให้ทำงานได้ดีขึ้น ฉลาดขึ้น และเชื่อมโยงกันได้มากกว่าเดิม 

ทุกวันนี้องค์กรทั่วโลก ต่างให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยี โดยเฉพาะ AI มาช่วยเสริมประสิทธิภาพและพัฒนาศักยภาพคนทำงาน ไม่เฉพาะภายในองค์กรอย่างพนักงาน แต่ยังรวมถึงภายนอกองค์กร ตั้งแต่คู่ค้า พันธมิตรทางธุรกิจ ไปจนถึงผู้ประกอบการรายย่อยในห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) เพราะที่สุดแล้ว ธุรกิจที่จะยั่งยืน คือ ธุรกิจที่เติบโตไปพร้อมคนในอีโคซิสเต็มเดียวกัน

หนึ่งในตัวอย่างองค์กรที่นำเทคโนโลยีมาช่วยยกระดับประสิทธิภาพการทำงานของผู้คนได้อย่างน่าสนใจคือ วอลมาร์ต (Walmart) หนึ่งในบริษัทค้าปลีกที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา มุ่งเน้นใช้ AI ช่วยเหลือพนักงานกว่า 1.5 ล้านคน เช่น เปิดตัวเครื่องมือแปลภาษาแบบเรียลไทม์ที่รองรับกว่า 44 ภาษา ช่วยลดอุปสรรคการสื่อสารระหว่างพนักงานและลูกค้าในสาขาที่มีความหลากหลายทางภาษา 

นอกจากนี้ วอลมาร์ต ได้จับมือกับ OpenAI ส่งเสริมความรู้เรื่อง AI ผ่านการอบรมทักษะและเครื่องมือ AI ต่างๆ แก่พนักงานและใช้ ChatGPT Enterprise เพื่อเพิ่มศักยภาพทีมงานทั่วโลก การใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ ช่วยเสริมการทำงานพนักงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่งผลให้ประสบการณ์ลูกค้าดีขึ้นตามไปอีกด้วย

ยักษ์ใหญ่กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคอย่าง ยูนิลีเวอร์ (Unilever) เป็นอีกหนึ่งองค์กรที่ให้ความสำคัญกับ “ทักษะดิจิทัล” ของบุคลากรในห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก ปี 2024 ยูนิลีเวอร์ จัดฝึกอบรมพนักงานกว่า 23,000 คน ด้านการใช้เครื่องมือ AI และวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และความยืดหยุ่นกระบวนการผลิตและการขนส่ง การลงทุนในทักษะดิจิทัลเหล่านี้ไม่เพียงลดต้นทุนดำเนินงาน แต่ยังสร้างบุคลากรที่พร้อมรับมือความเปลี่ยนแปลงโลกธุรกิจในอนาคต และวางรากฐานการทำงานร่วมกันของมนุษย์และ AI ในระยะยาว

สำหรับ แกร็บ เราเชื่อมั่นว่าเทคโนโลยี คือ สิ่งที่จะช่วย “ยกระดับคุณภาพชีวิต” ของผู้คน ไม่เพียงเฉพาะผู้บริโภค แต่ยังรวมถึงการช่วยส่งเสริมคนในอีโคซิสเต็มของเราให้ทำงานได้ดีขึ้น และเติบโตไปด้วยกัน เราจึงมุ่งพัฒนาเทคโนโลยีที่ช่วยให้พนักงานในองค์กร คนขับและพาร์ทเนอร์ร้านค้าของเราสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

อย่างในฝั่งพนักงาน เราได้ผลักดันโครงการ “GenAI Sprint” ซึ่งส่งเสริมให้พนักงานแกร็บทุกคนวางมือจากงานประจำเพื่อโฟกัสกับการเรียนรู้ ทดลองและฝึกฝนทักษะในการใช้ GenAI เป็นเวลา 9 สัปดาห์ สิ่งนี้ไม่เพียงช่วยเร่งการสร้างทักษะใหม่ๆ แต่ยังเป็นการปลูกฝังแนวคิดการใช้ AI เข้ามาเป็นตัวช่วยแรกในการแก้ไขปัญหา ทั้งยังนำไปสู่การพัฒนาเครื่องมือและสร้างผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม

ทางฝั่งคนขับ เราได้พัฒนาเทคโนโลยีเสริมประสิทธิภาพการทำงานให้คนต่อเนื่อง โดยเฉพาะระบบที่ช่วยจัดสรรงานที่ช่วยให้คนขับมีรายได้เพิ่มขึ้น อาทิ ระบบ Smart Matching Algorithms ที่เข้ามาช่วยจัดสรรออเดอร์ให้เหมาะสมที่สุด พิจารณาเส้นทาง ระยะทาง และความพร้อมคนขับขณะนั้น ช่วยลดเวลารอและเพิ่มจำนวนออเดอร์ที่รับได้ในแต่ละวัน 

ระบบจ่ายงานต่อเนื่อง (Back-to-Back Job Allocation) ช่วยจัดสรรงานต่อเนื่องให้คนขับ เพื่อลดเวลาว่างและเพิ่มรายได้ต่อชั่วโมง ขณะเดียวกัน เราได้นำ AI มาช่วยวิเคราะห์เวลาในการรับอาหารหรือสินค้า ทำให้คนขับถึงหน้าร้านในเวลาที่ออเดอร์พร้อมพอดี ลดเวลารอคอยโดยไม่จำเป็น เป็นต้น

ด้านพาร์ทเนอร์ร้านค้า ในปีที่ผ่านมาเราได้นำเทคโนโลยี Generative AI มาพัฒนา เพื่อช่วยร้านค้า เช่น ในการสร้างคำอธิบายเมนูของร้านอาหารผ่าน  “AI-Generated Item Description” เพื่อช่วยดึงดูดความสนใจลูกค้าได้ดีขึ้น โดยระบบ AI จะช่วยแนะนำคำอธิบายเมนูที่ดึงดูดและเหมาะสมกับสไตล์ของร้าน ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสในการขายและการมองเห็นในแพลตฟอร์ม

นอกจากนี้เรายังได้พัฒนา “Merchant AI Assistant” ซึ่งเป็นแชทบอทในแอปพลิเคชันของพาร์ทเนอร์ร้านค้า (GrabMerchant App) ที่ขับเคลื่อนด้วยโมเดล AI ที่ใช้ประมวลผลข้อมูลทางภาษา หรือ LLM เพื่อช่วยสนับสนุนร้านค้า 

โดยเฉพาะร้านขนาดเล็กที่ไม่สามารถเข้าถึงเครื่องมือวิเคราะห์เชิงลึกเหมือนแบรนด์ใหญ่ๆ โดยเครื่องมือนี้จะทำหน้าที่เสมือนเป็นที่ปรึกษาธุรกิจ ให้คำแนะนำกับผู้ประกอบการร้านอาหารได้ตลอด 24 ชั่วโมง เช่น การจัดทำสรุปรายงานยอดขาย การพัฒนาปรับปรุงเมนูเพื่อให้โดนใจลูกค้า ไปจนถึงการวางแผนการตลาดและทำโปรโมชันเพื่อดึงดูดลูกค้าใหม่และกระตุ้นยอดขาย เป็นต้น

เมื่อมองภาพรวม เทคโนโลยีได้กลายเป็นกลไกสำคัญที่ช่วย “เปิดประตู” ให้กับผู้คนในอีโคซิสเต็มขององค์กร ไม่ว่าจะเป็นพนักงาน คนขับหรือไรเดอร์ พันธมิตรร้านอาหาร โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายย่อย เทคโนโลยีช่วยให้เราสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดภาระงานซ้ำซ้อน สร้างโอกาสใหม่ในการพัฒนาอาชีพ และต่อยอดรายได้ในระยะยาว 

เพราะท้ายที่สุด เทคโนโลยีไม่ได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อแทนที่คน แต่เพื่อช่วย “ปลดล็อกศักยภาพ” ผู้คนให้ไปได้ไกลกว่าเดิม องค์กรที่กล้าใช้เทคโนโลยีเพื่อเสริมสร้างศักยภาพของคนในระบบอีโคซิสเต็มของธุรกิจ จะไม่เพียงสร้างความแข็งแกร่งจากภายใน แต่ยังสร้างความไว้วางใจจากพันธมิตรและผู้บริโภคได้อย่างยั่งยืน ความก้าวหน้าครั้งต่อไปของโลกธุรกิจ อาจไม่ได้อยู่ที่เทคโนโลยีที่ “ฉลาดกว่า” แต่คือผู้คนที่ “ฉลาดขึ้น” และรู้วิธีที่จะใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีได้อย่างยั่งยืน