'AI' อนาคตทางการศึกษา

'AI' อนาคตทางการศึกษา

ได้เห็นภาพอนาคตที่หลายประเทศต่างพยายามนำเสนอผ่านมุมมองของตนเอง โดยเฉพาะประเด็นเรื่อง AI ที่กลายเป็นหัวใจสำคัญ

ต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาผมมีโอกาสไปร่วมงานเวิลด์เอ็กซ์โปที่เมืองโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น ตามด้วยการเดินทางไปดูงานที่ประเทศจีนในสัปดาห์ต่อมา

การเดินทางครั้งนี้ไม่เพียงแต่เปิดโลกทัศน์ให้เห็นถึงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี แต่ยังทำให้ผมสัมผัสได้ถึงภาพอนาคตที่หลายประเทศต่างพยายามนำเสนอผ่านมุมมองของตนเอง โดยเฉพาะประเด็นเรื่อง ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่แทบจะกลายเป็นหัวใจสำคัญในทุกเวที

งานเอ็กซ์โปที่โอซาก้าสะท้อนให้เห็นการแข่งขันเชิงสัญลักษณ์ของนานาประเทศ แต่ละชาติเลือกนำเสนอความล้ำหน้าของตนเองอย่างเต็มที่ ตัวอย่างเช่น ซาอุดิอาระเบียที่โชว์เมืองแห่งอนาคต เน้นนวัตกรรมการออกแบบเมืองอัจฉริยะเต็มรูปแบบ

ในขณะที่ประเทศจีน นำเสนอการเชื่อมโยงระหว่างมรดกทางวัฒนธรรมเก่าแก่ ประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ และความก้าวหน้าทางวิทยาการในศตวรรษใหม่ ซึ่งเป็นการสร้างภาพลักษณ์ว่าความทันสมัยไม่จำเป็นต้อง  ตัดขาดจากรากเหง้า

ประเทศอื่นๆ ก็นำเสนอในรูปแบบที่ไม่ต่างกัน คือเน้นการใช้ AI เพื่อตอบโจทย์ธุรกิจ อุตสาหกรรม การแพทย์ ฯลฯ

ส่วนญี่ปุ่นในฐานะเจ้าภาพก็ไม่น้อยหน้า พวกเขาแสดงให้เห็นว่าการใช้ AI ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงเรื่องธุรกิจหรือการพัฒนาเมือง แต่ยังครอบคลุมไปถึงเรื่องที่สำคัญที่สุด ซึ่งก็คือการพัฒนาคนผ่านระบบการศึกษา

เพราะการศึกษาเป็นรากฐานของการพัฒนาทุกด้าน และเป็นต้นทุนมนุษย์ที่สำคัญที่สุดของทุกประเทศ แต่ในปัจจุบันระบบการศึกษาทั่วโลกต่างประสบปัญหาคล้ายกัน ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่นหรือแม้แต่ประเทศไทยเอง ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เคยออกมาพูดถึงความล้มเหลวของระบบการศึกษาอเมริกัน จนถึงขั้นเสนอแนวคิดให้ยุบกระทรวงศึกษาธิการของประเทศเสียด้วยซ้ำ

บนเวทีโลก AI ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางในฐานะเครื่องมือปฏิวัติระบบการเรียนรู้ ที่จะยกระดับผู้เรียน ไปสู่ศักยภาพสูงสุด เด็กแต่ละคนสามารถเลือกเรียนในสิ่งที่สนใจได้อย่างอิสระ โดยมี AI คอยแนะนำเส้นทางการเรียนรู้เฉพาะบุคคล

งานเอ็กซ์โปที่ญี่ปุ่นชี้ให้เห็นชัดเจนว่าอนาคตของการศึกษาไม่ได้จำกัดเพียงการเรียนในห้องเรียนอีกต่อไป ระบบใหม่จะสามารถออกแบบการเรียนการสอนเฉพาะบุคคล วัดผลได้แบบเรียลไทม์ และปรับเปลี่ยน ตามความถนัด ความสนใจ และความเร็วในการเรียนรู้ของผู้เรียน แต่ละคนจึงไม่จำเป็นต้องเดินไปตามกรอบมาตรฐานเดียวกันเหมือนในอดีต

เมื่อบวกกับสมาร์ทโฟนและอินเทอร์เน็ตที่เข้าถึงได้ทุกที่ ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาอาจถูกลดลงอย่างมหาศาล เด็กในชนบทสามารถเข้าถึงความรู้แบบเดียวกันกับเด็กในเมืองได้ หากระบบถูกออกแบบอย่างทั่วถึง สิ่งนี้จะเปลี่ยนโฉมการศึกษาโลกในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

อย่างไรก็ดี การนำ AI เข้ามาใช้กับระบบการศึกษาไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมันหมายถึง การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพื้นฐานการศึกษาแบบดั้งเดิมทั้งหมด เราอาจกำลังเดินไปสู่โลกที่ไม่มีการแบ่งชั้นเรียนแบบอนุบาล–ประถม–มัธยม–มหาวิทยาลัยอีกต่อไป เพราะเด็กแต่ละคนจะเดินบนเส้นทางการเรียนรู้ของตัวเอง ขึ้นอยู่กับความพร้อมและเป้าหมายในอนาคต

สิ่งที่ญี่ปุ่นนำเสนอในงานเอ็กซ์โปจึงน่าคิด เพราะพวกเขาไม่ได้มอง AI เป็นเพียงเครื่องมือทางธุรกิจ แต่เป็น หมุดหมายสำคัญในการสร้างทุนมนุษย์ใหม่ ซึ่งเป็นรากฐานของความมั่นคงในระยะยาวประเทศใดที่ปรับตัวได้ก่อน ย่อมสร้างความได้เปรียบเชิงแข่งขันทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม