สื่อVSแพลตฟอร์ม : งานผลิตข่าวมีราคาที่ต้องจ่าย

สื่อVSแพลตฟอร์ม : งานผลิตข่าวมีราคาที่ต้องจ่าย

การเปลี่ยนแปลงของภูมิทัศน์สื่อ เป็นความท้าทายที่สื่อมวลชนทั่วโลกต้องเผชิญ เมื่อผู้บริโภคมีพฤติกรรมเสพข่าวและข้อมูลผ่าน “แพลตฟอร์มดิจิทัล”

สื่อมวลชนรวมถึงคนทำคอนเทนต์ในฐานะผู้ผลิตข่าว จำเป็นต้องพึ่งพาแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อให้ได้อัตราการมองเห็น (Eyeballs) เพิ่มมากขึ้น แต่การพึ่งพาแพลตฟอร์มทำให้ผลตอบแทนทั้งยอดการเข้าถึงและเม็ดเงินกลับตกไม่ถึงผู้ผลิตข่าวเท่าที่ควร

ขณะที่แพลตฟอร์มกลับได้รายได้จากค่าโฆษณาเพิ่มขึ้น หลายฝ่ายกังวลว่าจะนำไปสู่แรงจูงใจในการผลิตเนื้อหาต่างๆ ที่ลดน้อยลงหรือคุณภาพต่ำลง

ในหลายประเทศจึงมีความพยายามในการรักษาสมดุลอำนาจ ในการเจราจาต่อรองค่าตอบแทนเนื้อหาข่าวระหว่างธุรกิจสื่อและธุรกิจแพลตฟอร์มดิจิทัล ด้วยการออกกฎหมายให้แพลตฟอร์มดิจิทัลดำเนินการเจรจาค่าตอบแทนเนื้อหาข่าวกับผู้ผลิตข่าว

ออสเตรเลียเป็นประเทศแรก ๆ ที่มีการประกาศใช้ News Media Bargaining Code ในปี 2564 โดยกำหนดให้ผู้ผลิตข่าวมีหน้าที่ยื่นเสนอเจรจาค่าตอบแทนการให้บริการกับผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม

แต่จากนั้นไม่นานทางแพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่ อย่าง Meta (Facebook) ได้แสดงการต่อต้าน โดยประกาศปิดกั้นผู้ใช้งาน จนทำให้ชาวออสเตรเลียไม่สามารถรับข่าวสารในแพลตฟอร์มนี้ประมาณ 3 เดือน  

ส่วน Google เคยประกาศว่าจะนำเครื่องมือการค้นหาออก แต่ภายหลัง Google ได้เปิดตัว News Showcase ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มใหม่ที่จัดทำขึ้น เพื่อให้ผู้ผลิตและองค์กรข่าวสามารถเข้ามาร่วมเป็น “พันธมิตรทางธุรกิจ” ในการนำเสนอข่าวลงในแพลตฟอร์ม

สื่อVSแพลตฟอร์ม : งานผลิตข่าวมีราคาที่ต้องจ่าย

โดย Google จะจ่ายค่าตอบแทนให้พันธมิตรในลักษณะของ “ค่าเผยแพร่เนื้อหาข่าว” แทนการเสียค่าตอบแทนจากการเข้าไปชมลิงก์ที่อยู่ในเครื่องมือการค้นหา 

ในปัจจุบัน Google และ Meta ยินยอมเจรจาร่วมกับผู้ผลิตข่าวทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็ก โดยบรรลุข้อตกลงประมาณ 30 ฉบับ ทั้งในเขตเมืองและภูมิภาค มีการประเมินว่ากฎดังกล่าว ส่งผลให้ Google และ Meta จ่ายเงินให้กับผู้ผลิตข่าวไปแล้วมากกว่า 200 ล้าน AUD  นอกจากนี้ยังสร้างงานมากกว่าร้อยตำแหน่งให้กับองค์กรข่าวรายใหญ่ 

อย่างไรก็ตาม ภายหลังที่มีการบังคับใช้กฎหมาย 1 ปี ออสเตรเลียได้มีการทบทวนกฎหมายและพบช่องว่างที่สำคัญ คือ การขาดความโปร่งใสในข้อตกลง เนื่องจากเงื่อนไขและจำนวนเงินของค่าตอบแทนจะถูกเก็บไว้เป็นความลับ จึงไม่มีความแน่นอนว่าค่าตอบแทนที่ได้รับมีความเป็นธรรมหรือไม่  

อีกทั้งองค์กรข่าวขนาดเล็กที่มีรายได้ต่ำกว่า 150,000 AUD ต่อปี  ไม่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายฉบับนี้ ซึ่งทำให้มีข้อวิพากษ์วิจารณ์เรื่องของความไม่เท่าเทียมในการประกอบธุรกิจ

ขณะที่ในแคนาดา มีการออกกฎหมาย Online News Act ฉบับใหม่ เพื่อแก้ไขความไม่สมดุลในตลาดสื่อดิจิทัล โดยกำหนดให้แพลตฟอร์มขนาดใหญ่ต้องเจรจาค่าตอบแทนอย่าง “เป็นธรรม” และ “โปร่งใส” กับผู้ผลิตข่าว โดยรายละเอียดมีความแตกต่างกับกฎหมายของออสเตรเลียบางประการเพื่อแก้ไขปัญหาด้านความโปร่งใส 

โดยหน่วยกำกับแพลตฟอร์มออนไลน์ของแคนาดา สามารถกำหนดให้แพลตฟอร์มเข้าเจรจาภายใต้กฎการต่อรองได้ภายใต้เงื่อนไขที่แน่นอน  และเลือกใช้รูปแบบการอนุญาโตตุลาการแบบข้อเสนอสุดท้าย (final offer arbitration) ซึ่งจะเปิดโอกาสให้แต่ละฝ่ายเสนอตัวเลขค่าตอบแทนที่เห็นว่าเหมาะสม

และอนุญาโตตุลาการต้องเลือกข้อเสนอใดข้อเสนอหนึ่ง อันจะเป็นการกระตุ้นให้ทั้งสองฝ่ายเสนอข้อตกลงที่ยุติธรรมตั้งแต่เริ่มต้น

สื่อVSแพลตฟอร์ม : งานผลิตข่าวมีราคาที่ต้องจ่าย

ทั้งนี้ องค์กรตรวจสอบงบประมาณอิสระของรัฐสภาแคนาดาพบว่า ผู้ผลิตข่าวในแคนาดารวมกันอาจรับเงินได้มากถึง 329 ล้าน CAD ต่อปี จากแพลตฟอร์มดิจิทัล แต่ทว่าหลังจากกฎหมายของแคนาดาผ่านออกมาแล้วก็มีปฏิกิริยาตอบกลับจากแพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่ เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นที่ออสเตรเลีย  โดย Google และ Meta ประกาศว่าจะจำกัดการเข้าถึงเนื้อหาข่าวสำหรับผู้ใช้ชาวแคนาดา

หลายฝ่ายเห็นว่าหากไม่มีการตรากฎหมายในลักษณะนี้ ก็ไม่มีทางเลยที่ธุรกิจแพลตฟอร์มรายใหญ่อย่าง Facebook หรือ Google จะลงมาเจรจากับผู้ผลิตข่าว

กฎหมายจึงมีความสำคัญ เพื่อปรับสมดุลของอำนาจต่อรองเจรจาค่าตอบแทนที่ผู้ผลิตข่าวสมควรได้รับ และจะส่งผลเป็นแรงกระตุ้นให้มีการสร้างสรรค์เนื้อหาใหม่ต่อไป 

แต่ในทางกลับกันหลายฝ่ายกังวลว่า กฎหมายลักษณะนี้เป็นการแทรกแซงการแข่งขันเสรี และอาจทำให้ผู้ผลิตเนื้อหาไม่ปรับตัวเข้ากับช่องทางการเผยแพร่เนื้อหาใหม่ รวมไปถึงอาจมองได้ว่าแพลตฟอร์มเป็นเพียงช่องทางหนึ่งในการเผยแพร่เนื้อหาและข่าวสารเท่านั้น

และจากประสบการณ์ของออสเตรเลียและแคนาดาพบว่า การนำกฎเกณฑ์ลักษณะนี้มาใช้อาจส่งผลให้แพลตฟอร์มเลือกที่จะไม่ให้บริการในประเทศที่บังคับใช้กฎหมาย หรือปิดกั้นข่าวที่มีแหล่งที่มาจากประเทศที่มีการบังคับใช้กฎเหล่านี้ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งจะส่งผลให้ประชาชนเข้าถึงข่าวได้น้อยลง อันจะลดประโยชน์ของข่าวต่อสังคมลงตามไปด้วย

นอกจากออสเตรเลีย และแคนาดาแล้วยังมีอีกหลายประเทศกำลังออกกฎหมายในลักษณะนี้ด้วย เช่น สหรัฐอเมริกา อยู่ระหว่างการจัดทำ Journalism Competition and Preservation Act และ สหราชอาณาจักรที่กำลังร่าง Special Market Status legislation

อย่างไรก็ตามจนถึงขณะนี้ยังมีข้อถกเถียงถึงข้อดีข้อเสียของการออกกฎหมายนี้เป็นวงกว้าง ซึ่งอาจจะยังไม่เห็นข้อสรุปและผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น 

ดังนั้น สำหรับประเทศไทยเองอาจต้องรอดูประสิทธิผลของประเทศที่ทำการบังคับใช้กฎหมายลักษณะดังกล่าว เพื่อพิจารณาว่าแนวทางใดเข้ากับบริบทของประเทศไทย โดยอาจพิจารณาเปรียบเทียบกับทางเลือกอื่นในการดำเนินนโยบายเพื่อแก้ปัญหานี้ เพื่อให้ส่งผลดีต่อสังคมและสอดคล้องกับบริบทของประเทศไทยมากที่สุด
คอลัมน์วาระทีดีอาร์ไอ
สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) 
ดร.สลิลธร ทองมีนสุข
นภสินธุ์ คามะปะโส 
ฉัตรฑริกา นภาธนาพงศ์