"ไหมไทย" แห่งศตวรรษ

"ไหมไทย" แห่งศตวรรษ

ไหมไทยยุคใหม่ ต้องปรับอัตลักษณ์เพื่อก้าวสู่สากล ให้เป็นแฟชั่นนิสซึ่ม ใช้ได้ทุกโอกาส รักษาง่าย พร้อมโกอินเตอร์

รายงาน ชฎาพร นาวัลย์


ไหมไทยยุคใหม่ ต้องปรับอัตลักษณ์เพื่อก้าวสู่สากล หลากกลวิธีหลายชนชาติระดมความเห็นแก้ปัญหา ปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ใหม่ให้เป็นแฟชั่นนิสซึ่ม ใช้ได้ทุกโอกาส รักษาง่าย พร้อมโกอินเตอร์

ในปี 2555 อุตสาหกรรมไหมไทยมีมูลค่าการส่งออก 18.53 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงจากปีก่อนถึงร้อยละ 16.16 เหตุผลเพราะจีนสยายปีกครอบอาณาจักรผ้าไหมไปทั่วโลก คนจีนเองก็นิยมสวมใส่ผ้าไหมเพื่อสะท้อนรสนิยมที่สูงขึ้น ไทยจะอยู่เฉยไม่ได้อีกแล้ว เพราะเวียดนามก็กำลังไล่หลังตามมาติดๆ แถมเรายังนำเข้าผลิตภัณฑ์จากผ้าไหมลดลงจากปีก่อนถึงร้อยละ 23.45 รวมทั้งเกษตรกรไทยก็ปลูกหม่อนไหมน้อยลง

ข้อมูลเหล่านี้แสดงอะไร...ผู้บริโภคไม่นิยมผ้าไหมแล้วหรือ อุตสาหกรรมไทยซิลค์กำลังถอยร่นเพราะขาดการพัฒนาอย่างต่อเนื่องหรือเปล่า เรากำลังขาดแคลนเส้นไหมคุณภาพดีแล้วใช่ไหม

จึงเป็นที่มาของฮีโร่ที่จะมาชุบชีวิตผ้าไหมให้คืนชีพ อย่าง โครงการ "โมเดิร์น ไทยซิลค์" โครงการศึกษาวิจัยและพัฒนาต้นแบบไหมไทยร่วมสมัย ตั้งต้นพัฒนาเส้นใยใส่นวัตกรรมสู่เป้าหมายการเปลี่ยนแปลง ภาพลักษณ์ รูปแบบ คุณภาพของผ้าไหมไทย ให้สามารถใช้สวมใส่ได้ทุกโอกาส โดยนำร่องผลิต 3 คอลเลคชั่นรวม 15 ผลิตภัณฑ์ มุ่งสู่ตลาดการค้าอย่างเต็มรูปแบบและมุ่งสู่ตลาดสากล

เผยโฉม "ไหม(แนว)ใหม่"

สุทธินีย์ พู่ผกา ผู้อำนวยการ สถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ กล่าวว่า ต้องอุดช่องโหว่ของอุตสาหกรรมผ้าไหมด้วยการเสริมความสามารถทางการผลิต (Productivity) ทั้งการสร้างภาพลักษณ์ใหม่ในแนวทางคงภูมิปัญญาดั้งเดิมไว้ ไม่ว่าจะเป็น ลายผ้า ลายลูกแก้ว สไตล์บาติก หรือมัดหมี่ แล้วเลือกใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ เพื่อรักษาคุณภาพและคุณสมบัติของเนื้อผ้าเพื่อสร้างสรรค์ให้เข้ากับชีวิตประจำวัน ดูแลง่าย (Easy Care) และผลักดันคาเรคเตอร์ของผ้าไหมแนวใหม่ให้ใช้ได้เต็มที่ และพยายามดึงเอกลักษณ์นั้นมุ่งการส่งออก เน้นกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่

การพัฒนาเพื่อก้าวสู่ตลาดสากลจำเป็นต้องเชื่อมไทยเข้ากับโลก โดยดึงผู้เชี่ยวชาญจากเมืองแฟชั่นอย่างอิตาลี ออร์เนลล่า บิกนามิ ดีไซเนอร์ชื่อดังชาวอิตาลี และดาร์เนียล อะลิเวอร์ติ วิศวกรการออกแบบนวัตกรรมสิ่งทอ ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จแบรนด์ดังระดับโลก ร่วมกับผู้มีประสบการณ์ด้านการตลาดและอุตสาหกรรมแฟชั่นด้านต่างๆ อย่าง กรมหม่อนไหม โครงการพิพิธภัณฑ์ผ้าในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ สมาคมแฟชั่นดีไซเนอร์กรุงเทพฯ สมาคมไหมไทย เพื่อระดมสมองสร้างอัตลักษณ์ใหม่ของผ้าไหมไทยให้เกิดขึ้น

"เราเลือกอิตาลีเพราะที่นั่นมีบริเวณที่ผลิตผ้าไหมหลายแห่ง และเป็นศูนย์กลางแฟชั่นของยุโรป เขาจึงรู้เทรนด์ของโลกเป็นอย่างดี ซึ่งเทรนด์นิยมตอนนี้คือ สามมิติ (Three Dimension) เราต้องรู้ข้อมูลตรงนี้เพื่อนำมาศึกษา สร้างทางเลือกและแนวทางในอนาคตให้กับผู้ผลิตสินค้าผ้าไหมได้รู้ทันกระแสนิยมและความต้องการที่แท้จริงของผู้บริโภค อาจต้องเพิ่มความหนาแน่น จะต้องผสมกับขนสัตว์หรือไม่ เพื่อเสิร์ฟตลาดทางฝั่งตะวันตก หรือทำเนื้อผ้าให้เบาบาง ไม่แข็งกระด้าง ไม่ระคายเคืองให้เข้ากับเมืองร้อน ต้องรู้รสนิยมของลูกค้า เช่นญี่ปุ่นชอบผ้าทอมือ ส่วนยุโรปนิยมผ้าพริ้ว อันนี้จึงเป็นเหตุผลว่าเราต้องร่วมกันคิดทั้งโลก"

ผลักดันโอท็อป "ไทยซิลค์"

โครงการฯนี้อยู่ภายใต้โครงการเพิ่มมูลค่าของผลิตภัณฑ์โอท็อป โดยใช้ความคิดสร้างสรรค์และสร้างองค์ความรู้แก่ผู้ประกอบการหรือผู้ผลิตโอท็อปที่ผลิตไหมไทยให้ได้เรียนรู้ เข้าใจถึงการสร้างมูลค่าเพิ่มของผลิตภัณฑ์ เน้นครอบคลุมรอบด้าน ทั้งการพัฒนาการออกแบบตัดเย็บ ดีไซน์ของเสื้อผ้า ตลอดจนการพัฒนาโครงสร้างของเส้นใย เนื้อผ้า ลวดลายของผ้าไหมไทย เพื่อไม่ให้ผ้าไหมมีข้อจำกัดในการใช้งาน

"เราจะคัดเลือกผู้ประกอบการหรือนักออกแบบผ้าไหมมาร่วมเป็นต้นแบบสร้างเทรนด์แฟชั่นสำหรับฤดูกาล Spring/Summer2015 โดยเราจะหาผู้ที่มีความพร้อมทั้งศักยภาพในการผลิตและมีอุดมการณ์เดียวกันในด้านเคหะสิ่งทออ เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม และสิ่งทอประดับตกแต่งมาพลิกโฉมให้เกิดเป็น 15 นวัตกรรมผ้าไหม นำร่องความแตกต่างนี้ ส่งต่อให้ผู้ที่อยู่ในแวดวงอุตสาหกรรมผ้าไหมได้ไปต่อยอด ร่วมกับจัดทำคู่มือแนวโน้มการออกแบบไหมไทยร่วมสมัย เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้ให้กับผู้ที่สนใจ"

นอกจากนั้น ยังสะท้อนให้เห็นคุณค่าในเชิงสังคม ซึ่งปิลันธน์ ธรรมมงคล นายกสมาคมอุตสาหกรรมฟอกย้อมพิมพ์และตกแต่งสิ่งทอไทย และผู้ประกอบการผ้าไหมยุคใหม่ กล่าวว่าการสร้างอัตลักษณ์ไทยครั้งใหม่นี้จะทำให้เกิดการพัฒนาลงลึกถึงการเพาะเลี้ยงไหม โดยย่นระยะเวลาด้วยการซื้อตัวอ่อนจากการเพาะเลี้ยง และเปลี่ยนรูปแบบการทำงานของเส้นใยและการออกแบบวัสดุที่ใช้ผลิตทั้งหมด เช่น เปลี่ยนวิธีการฟอกย้อมที่มีคุณภาพ สามารถทนซักและแดดได้ดี เป็นต้น

และเมื่อผู้บริโภคได้ใช้ผ้าไหมในแบบที่ตนต้องการ ส่วนนักออกแบบเองก็ได้เส้นไหมที่ตัวเองอยากได้ ในขณะเดียวกันผู้ผลิตเองก็จะได้ลวดลายแปลกๆที่สามารถพัฒนาต่อได้ พร้อมคงความประณีตวิจิตรบรรจงในแบบฉบับเดิมเอาไว้ ดังนั้นเมื่อสายพานการผลิตถูกเติมเต็ม แรงงานท้องถิ่นย่อมหันกลับมาสนใจสินค้าพื้นถิ่นของตัวเองและผลักดันให้เกิดการสานต่อรุ่นสู่รุ่น ภูมิปัญญาหัตถกรรมไทยด้านนี้ก็จะไม่สูญหายไปตามกาล

ส่วนการนำไปใช้ในอนาคตนั้น การพัฒนาอุตสาหกรรมผ้าไหมด้วยวิถีใหม่นี้ จะเป็นแนวทางต่อสู้กับค่าแรงที่มีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งตอบสนองอัตราการบริโภคไร้ขีดจำกัด และตอบโจทย์สินค้าใหม่อย่าง รถไฟความเร็วสูง ที่ต้องนำ OTOP Store เข้าไปเป็นส่วนหนึ่ง และผ้าไหมก็จะกลายเป็นส่วนประกอบสำคัญในทุกๆส่วนของงานดีไซน์เช่นกัน