OpenAI เตรียมเข้าตลาดหุ้น จากไม่แสวงกำไรสู่บริษัทผลประโยชน์สาธารณะ

OpenAI เตรียมเข้าตลาดหุ้น จากไม่แสวงกำไรสู่บริษัทผลประโยชน์สาธารณะ

OpenAI ปรับโครงสร้างองค์กรจากไม่แสวงกำไรสู่บริษัทผลประโยชน์สาธารณะ ปูทางสู่การเข้าตลาดหุ้นในอนาคต การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้เกิดความกังวลว่าอุดมการณ์ดั้งเดิมในการสร้างเอไอเพื่อมนุษยชาติ อาจถูกบดบังด้วยแรงจูงใจทางธุรกิจและผลประโยชน์ทางการเงิน

KEY

POINTS

  • OpenAI ปรับโครงสร้างองค์กรจากไม่แสวงกำไรสู่บริษัทผลประโยชน์สาธารณะ เพื่อให้ระดมทุนได้ง่ายขึ้น และปูทางสู่การเข้าตลาดหุ้นในอนาคต
  • การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้เกิดความกังวลว่าอุดมการณ์ดั้งเดิมในการสร้างเอไอเพื่อมนุษยชาติ อาจถูกบดบังด้วยแรงจูงใจทางธุรกิจและผลประโยชน์ทางการเงิน
  • ภายใต้โครงสร้างใหม่ องค์กรแม่ที่ไม่แสวงกำไรจะยังคงอำนาจควบคุม แต่พันธมิตรอย่าง Microsoft จะมีอิทธิพลและสัดส่วนหุ้นเพิ่มขึ้น ซึ่งทำให้เกิดการจับตาในประเด็นการผูกขาด

บริษัท OpenAI ผู้พัฒนา ChatGPT ประกาศปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ในวันที่ 28 ต.ค. 68 โดยเปลี่ยนสถานะบริษัทในเครือที่เป็น “แสวงหากำไร” ให้กลายเป็น “บริษัทผลประโยชน์สาธารณะ” (Public Benefit Corporation) ซึ่งเป็นโครงสร้างแบบกึ่งธุรกิจที่ยังคงพันธกิจเพื่อสังคม แต่เปิดทางให้ระดมทุนได้ง่ายขึ้นในตลาดทุนโลก

การเปลี่ยนผ่านครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องการบริหาร แต่กลายเป็นคำถามใหญ่ทางนโยบาย ว่าองค์กรที่ถืออุดมการณ์ “เอไอเพื่อมนุษยชาติ” จะยังรักษาเจตนารมณ์นั้นไว้ได้เพียงใด เมื่อผลประโยชน์ทางการเงินเริ่มมีน้ำหนักขึ้นเรื่อยๆ หลายฝ่ายกังวลว่า เจตนารมณ์นี้อาจถูกกลืนด้วยแรงจูงใจทางธุรกิจ

อุดมการณ์เพื่อมนุษยชาติจะยังอยู่หรือไม่?

OpenAI ก่อตั้งปี 2558 ในฐานะองค์กรไม่แสวงกำไร โดยมีเป้าหมายสร้างปัญญาประดิษฐ์ระดับมนุษย์ (AGI) เพื่อประโยชน์ของมนุษย์ทั้งหมด แต่เมื่อธุรกิจเติบโตอย่างรวดเร็วและต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมาก OpenAI จึงได้จัดตั้งบริษัทลูกเชิงพาณิชย์ในปี 2562 เพื่อรองรับการระดมทุนจากภาคเอกชน ซึ่งหนึ่งในผู้ลงทุนหลักคือบริษัท Microsoft

ภายใต้โครงสร้างใหม่นี้ องค์กรแม่ที่ไม่แสวงกำไรซึ่งจะใช้ชื่อว่า OpenAI Foundation ยังคงถืออำนาจควบคุมบริษัทลูกที่เป็นเชิงพาณิชย์ พร้อมได้สัดส่วนหุ้นเพิ่มขึ้น ขณะที่พันธมิตรหลักอย่าง Microsoft ก็ได้รับส่วนแบ่งมากขึ้นเช่นกัน

แม้ OpenAI จะยืนยันว่า “พันธกิจสาธารณะ” ยังเป็นหัวใจหลักขององค์กร แต่หลายฝ่ายกลับไม่เชื่อเช่นนั้น

กลุ่มภาคประชาชนอย่าง Public Citizen เคยเรียกร้องให้สำนักงานอัยการสูงสุดรัฐแคลิฟอร์เนียตรวจสอบว่า OpenAI ยังทำงานตามวัตถุประสงค์ไม่แสวงกำไรอยู่หรือไม่ โดยชี้ว่าการกลับมาดำรงตำแหน่งของซีอีโอ แซม อัลท์แมน (Sam Altman) ช่วงปลายปี 2566 คือสัญญาณว่า ฝ่ายธุรกิจได้ควบคุมองค์กรอย่างแท้จริง

โรเบิร์ต ไวส์แมน (Robert Weissman) ประธานร่วมของกลุ่ม Public Citizen มองว่าการปรับโครงสร้างครั้งนี้ ไม่ได้เปลี่ยนอะไรจริงๆ แต่กลับยิ่งทำให้ฝ่ายธุรกิจมีอำนาจเหนือองค์กรไม่แสวงกำไร ทั้งที่ตามหลักแล้วฝ่ายไม่แสวงกำไรควรเป็นผู้กำกับดูแลกิจการโดยตรง

เขาวิจารณ์ว่า OpenAI รีบปล่อยเทคโนโลยีใหม่สู่ตลาดโดยไม่ผ่านการทดสอบด้านความปลอดภัยเพียงพอ ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อผู้ใช้

อัลท์แมน ตอบกลับผ่านจดหมายถึงพนักงานว่า การปรับโครงสร้างนี้คือ “หนทางที่ดีที่สุดในการทำให้พันธกิจเพื่อมนุษยชาติสำเร็จ และเปิดโอกาสให้ผู้คนใช้เทคโนโลยีเพื่อสร้างประโยชน์ร่วมกันมากขึ้น”

ความปลอดภัยของผู้ใช้ โดยเฉพาะเด็ก มีผลกระทบอย่างไร

OpenAI ถูกกดดันอย่างหนักให้เพิ่มมาตรการปกป้องผู้ใช้ โดยเฉพาะหลังกรณีโศกนาฏกรรมที่พ่อแม่ของวัยรุ่นคนหนึ่งอ้างว่า ChatGPT มีส่วนในการชักจูงให้ลูกทำร้ายตัวเอง

ในจดหมายถึงพนักงาน อัลท์แมนยืนยันว่า “ความปลอดภัยจะเข้มแข็งขึ้น” แม้บริษัทจะเดินหน้าเชิงพาณิชย์มากขึ้น โดยมีข้อตกลงกับอัยการรัฐให้ตั้งคณะกรรมการจากฝั่งไม่แสวงกำไรคอยตรวจสอบความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์

อย่างไรก็ตาม คำแถลงบางช่วงของอัลท์แมนกล่าวว่า บริษัทจะ “ผ่อนคลาย” มาตรการด้านสุขภาพจิต เนื่องจากสามารถควบคุมความเสี่ยงได้แล้ว พร้อมแผนเปิดเนื้อหาสำหรับผู้ใหญ่สำหรับผู้ใช้ที่ยืนยันอายุแล้ว ซึ่งถูกวิพากษ์อย่างรุนแรงจากหลายประเทศและอดีตพนักงานที่เคยทำงานด้านความปลอดภัย

นักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิเด็กเตือนว่า การเปลี่ยนเป็นบริษัทที่มุ่งผลกำไรอาจยิ่งทำให้ประเด็นความปลอดภัยเหนือผลประโยชน์ถูกลดความสำคัญลง

ความสัมพันธ์กับ Microsoft ภายใต้แรงจับตา

ความสัมพันธ์ระหว่าง OpenAI กับ Microsoft ยักษ์ใหญ่เทคโนโลยีที่มีประวัติคดีผูกขาดยาวนาน ยังคงเป็นจุดที่นักกฎหมายจับตา

แม้ Microsoft จะไม่ได้ถือหุ้นควบคุม แต่ก็มีอิทธิพลอย่างสูงต่อทิศทางธุรกิจ ทั้งผ่านการลงทุนและการผนวก ChatGPT เข้ากับบริการของตน ปัจจุบัน Microsoft ถือหุ้นประมาณ 27% ส่วน OpenAI Foundation ถือ 26%

รัฐบาลสหรัฐเคยสั่งให้หน่วยงานกำกับดูแลด้านการค้า (FTC) ตรวจสอบความสัมพันธ์ของสองบริษัทนี้ โดยเฉพาะว่ามีการหลีกเลี่ยงกฎหมายผูกขาดหรือไม่ แต่จนถึงตอนนี้ยังไม่มีการฟ้องร้องใดๆ อย่างเป็นทางการ

ท่าทีของรัฐบาลภายใต้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งมักแสดงจุดยืน “ไม่ต้องการขัดขวางนวัตกรรม” อาจทำให้การตรวจสอบเชิงแข่งขันลดความเข้มข้นลง

ใครจะลุกมาท้าทาย OpenAI

ก่อนหน้าการอนุมัติ รัฐแคลิฟอร์เนียและเดลาแวร์ที่เป็นที่ตั้งบริษัทและจดทะเบียนองค์กรได้ตรวจสอบแผนนี้อย่างใกล้ชิด แต่สุดท้ายก็ยอมให้ดำเนินการต่อ หลังจาก OpenAI ยอมรับเงื่อนไขบางประการ เช่น การรับประกันว่า ทรัพย์สินการกุศลจะถูกใช้ตามวัตถุประสงค์เดิม และคงการดำเนินงานในรัฐแคลิฟอร์เนีย

ขณะเดียวกัน กลุ่มผู้บริโภค และอดีตผู้ร่วมก่อตั้งอย่าง อีลอน มัสก์ (Elon Musk) ยังคงวิจารณ์อย่างหนัก มัสก์เคยยื่นฟ้อง OpenAI ในปี 2567 โดยกล่าวว่า บริษัททรยศต่อพันธกิจเดิมที่ต้องการสร้างเอไอเพื่อประโยชน์ของมนุษย์ และมีรายงานว่า คดีดังกล่าวยังคงเดินหน้าต่อในศาลรัฐบาลกลาง แม้ OpenAI จะปรับโครงสร้างแล้วก็ตาม 

ฟองสบู่เอไอกำลังเกิดขึ้นจริงหรือไม่?

นักวิเคราะห์บางส่วนมองว่า การเปลี่ยนสถานะของ OpenAI คือแต้มต่อสู่การเป็น “มหาอำนาจเทคโนโลยีเต็มตัว” มูลค่าของ OpenAI ที่พุ่งแตะครึ่งล้านล้านดอลลาร์ สะท้อนความคาดหวังมหาศาลของนักลงทุนทั่วโลก แต่ก็ทำให้นักเศรษฐศาสตร์บางคนเตือนว่า นี่อาจเป็น “ฟองสบู่เทคโนโลยี” รอบใหม่

การเปลี่ยนโครงสร้างครั้งนี้เปิดทางให้ OpenAI สามารถเข้าสู่ตลาดหุ้นในอนาคตได้ง่ายขึ้น ซึ่งหากเกิดขึ้นจริง จะเป็นหนึ่งใน IPO ที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่ในอีกด้านหนึ่ง มันอาจกลายเป็นจุดเริ่มต้นของจุดจบ หากความคาดหวังของตลาดสูงเกินไป

รัฐบาลหลายประเทศที่กำลังร่วมลงทุนกับ OpenAI เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานเอไออาจต้องเผชิญความเสี่ยงร่วมกัน หากวันหนึ่งฟองสบู่แตก

อ้างอิง: Bloomberg WSJ และ Techpolicy