OpenAI เปิดตัว Atlas เบราว์เซอร์ที่ใช้ AI ค้นหาข้อมูล ท้าชนอาณาจักร Chrome

OpenAI ก้าวสู่สนามเบราว์เซอร์ด้วยการเปิดตัว Atlas ที่ใช้ AI ค้นหาและสรุปข้อมูลแบบเรียลไทม์ จุดชนวนการแข่งขันรอบใหม่กับ Chrome ในตลาดการค้นหาออนไลน์
KEY
POINTS
- OpenAI เปิดตัวเบราว์เซอร์ใหม่ชื่อ Atlas ใช้เอไอช่วยค้นหาข้อมูลโดยตรง จุดชนวนการแข่งขันรอบใหม่กับ Chrome ในตลาดการค้นหาออนไลน์
- จุดเด่นของ Atlas คือโหมด Agent Mode ที่ให้สิทธิ์เอไอเข้าไปใช้งานเว็บไซต์ ค้นหาข้อมูล และสรุปเนื้อหาต่างๆ แทนผู้ใช้งานได้
- การเปิดตัวเบราว์เซอร์นี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างช่องทางรายได้ใหม่ให้ OpenAI และสะท้อนถึงแนวโน้มการใช้งานอินเทอร์เน็ตที่เปลี่ยนไปสู่ยุคที่เอไอหาข้อมูลแทนเรา
- Atlas เปิดให้ใช้งานบนคอมพิวเตอร์ Mac เป็นที่แรก ก่อนจะขยายไปยัง Windows และโทรศัพท์มือถือในอนาคต
บริษัท OpenAI ผู้พัฒนา ChatGPT เปิดตัวเบราว์เซอร์ใหม่ชื่อ Atlas อย่างเป็นทางการเมื่อวันอังคาร (21 ต.ค. 68) เบราว์เซอร์นี้ออกแบบมาเพื่อให้ใช้ “เอไอ” ช่วยค้นหาข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตโดยตรง ซึ่งหมายความว่า OpenAI กำลังก้าวเข้าสู่สนามเดียวกับ Chrome ของ Google บริษัทแม่คือ Alphabet หนึ่งในเบราว์เซอร์ที่มีผู้ใช้มากที่สุดในโลก
คำถามต่อมาคือ ทำไม OpenAI ถึงอยากสร้างเบราว์เซอร์ของตัวเอง ทั้งที่ Chrome ครองตลาดกว่า 3 พันล้านคนทั่วโลก และ Atlas จะเปลี่ยนวิธีที่คนใช้อินเทอร์เน็ตไปอย่างไร?
จาก ChatGPT สู่ Atlas
ปัจจุบัน ChatGPT มีผู้ใช้งานทั่วโลกมากกว่า 800 ล้านคน แต่ส่วนใหญ่ใช้แบบฟรี ทำให้บริษัทต้องหาช่องทางใหม่ในการสร้างรายได้ Atlas จึงถูกมองว่าเป็นส่วนที่จะทำให้ OpenAI ทำกำไร เช่น การดึงทราฟฟิกและรายได้จากโฆษณาออนไลน์มาเป็นของตนเอง
เบราว์เซอร์ Atlas เปิดให้ใช้งานก่อนบนคอมพิวเตอร์ Mac และจะขยายไปยัง Windows, iPhone (iOS) และมือถือ Android ในลำดับต่อไป
โดยจุดเด่นคือ ไม่ต้องพิมพ์ URL หรือค้นหาด้วยมืออีกต่อไป เพียงพิมพ์หรือพูดคุยกับบอตเอไอมันก็จะหาข้อมูลให้แบบอัตโนมัติ พร้อมอธิบายไปด้วยว่าเจอข้อมูลจากที่ไหน
สิ่งที่ทำให้ Atlas แตกต่างจาก Chrome หรือ Safari คือโหมดใหม่ชื่อว่า “Agent Mode” มันจะให้สิทธิ์เอไอเข้าไปใช้งานเว็บแทนเราได้ เช่น ค้นหาข้อมูลจากหลายเว็บไซต์ คลิกลิงก์แทนผู้ใช้งาน สรุปเนื้อหาที่อ่านมาให้เข้าใจง่าย
แซม อัลท์แมน (Sam Altman) ซีอีโอของ OpenAI กล่าวในงานเปิดตัวว่า “นี่คือโอกาสครั้งหนึ่งในรอบสิบปี ที่เราจะได้คิดใหม่ว่าเบราว์เซอร์ควรทำอะไรให้คนได้บ้าง มันเหมือนให้เอไอใช้อินเทอร์เน็ตแทนเราจริงๆ”
ขณะเดียวกันบางคนมองว่า นี่อาจทำให้มนุษย์ “ยิ่งพึ่งพาเอไอมากขึ้น” จนขาดการคิดเอง ผู้เชี่ยวชาญจากบริษัท Forrester อย่าง แพดดี้ แฮริงตัน (Paddy Harrington) เตือนว่า Atlas อาจทำให้เราสูญเสียตัวตนของเราเอง เพราะระบบจะเรียนรู้จากข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ แล้วตอบกลับด้วยสิ่งที่เอไอคิดว่าเราอยากได้ไม่ใช่สิ่งที่เราคิดเองจริงๆ
Google ที่มีฐานผู้ใช้มหาศาล
Atlas เปิดตัวหลังจากผู้บริหารของ OpenAI เคยให้การในศาลว่า บริษัทอาจสนใจ “ซื้อ Chrome” ถ้าศาลมีคำสั่งให้ Google ต้องขายออกจากบริษัทเพื่อป้องกันการผูกขาด แต่คำสั่งนั้นไม่เกิดขึ้น เพราะศาลมองว่าเอไอเองก็กำลังเปลี่ยนการแข่งขันในตลาดอยู่แล้ว
ปัจจุบัน Chrome มีผู้ใช้ทั่วโลกกว่า 3 พันล้านคน และเริ่มใส่ฟีเจอร์เอไอจากระบบ Gemini เข้ามาช่วยค้นหาด้วยเช่นกัน
นักวิเคราะห์หลายคนมองว่า แม้ OpenAI จะเข้ามาช้า แต่ก็อาจสร้างการเปลี่ยนแปลงได้ เหมือนตอนที่ Google เปิดตัว Chrome ในปี 2551 แล้วสามารถโค่น Internet Explorer ของ Microsoft ลงได้ในเวลาไม่กี่ปี
นอกจาก OpenAI ยังมีบริษัทเอไอรายเล็กอย่าง Perplexity ที่เปิดตัวเบราว์เซอร์ของตัวเองชื่อ Comet และเคยเสนอซื้อ Chrome มูลค่า 34,500 ล้านดอลลาร์ แต่ไม่สำเร็จเช่นกัน
คนเริ่มใช้เอไอค้นหาข้อมูลมากขึ้น
ผลสำรวจจาก Associated Press NORC Center พบว่า คนในสหรัฐราว 60% และในกลุ่มคนอายุต่ำกว่า 30 ปีมีมากถึง 74% ใช้เอไอเพื่อค้นหาข้อมูลบ่อยครั้ง จนกลายเป็นหนึ่งในการใช้เอไอที่ได้รับความนิยมที่สุดในตอนนี้
Google เองก็เริ่มให้ผลการค้นหาที่มีคำตอบจากเอไอปรากฏอยู่ด้านบนของหน้า ซึ่งทำให้หลายฝ่ายกังวล เพราะเอไอยังมีปัญหาแสดงข้อมูลผิดพลาดได้อยู่บ่อยครั้ง
นอกจากนี้ วงการสื่อยังได้รับผลกระทบโดยตรง เพราะแชตบอตอย่าง ChatGPT หรือ Gemini ถูกฝึกจากข้อมูลออนไลน์จำนวนมาก โดยไม่ได้ขออนุญาตจากเจ้าของเนื้อหา ทำให้สำนักข่าวใหญ่อย่าง The New York Times ฟ้อง OpenAI ฐานละเมิดลิขสิทธิ์ ขณะที่บางสำนักข่าว เช่น Associated Press เลือกทำข้อตกลงให้ใช้ข้อมูลอย่างถูกต้องแทน
รายงานล่าสุดจาก European Broadcasting Union (EBU) ที่ทดสอบการตอบคำถามข่าวจากเอไอ 4 ราย รวมถึง ChatGPT และ Gemini พบว่า เกือบครึ่งของคำตอบยังมีข้อผิดพลาด และไม่ผ่านเกณฑ์ความน่าเชื่อถือของข่าวที่มีคุณภาพ
อย่างไรก็ตาม Atlas จึงไม่เพียงเป็นเบราว์เซอร์ตัวใหม่ในตลาดเท่านั้น แต่ยังสะท้อนแนวโน้มใหญ่ของโลกออนไลน์ที่กำลังเปลี่ยนจาก “เราค้นหา” สู่ยุคที่ “เอไอค้นหาแทนเรา”







