เศรษฐกิจ AI สิ้นปี 68 บิ๊กเทคลงทุนหนัก ผลประกอบการโตแรง ต้นทุนพุ่งสูง

Microsoft, Google, Meta, Amazon และ Nvidia รายงานผลประกอบการประจำไตรมาส Q3 เศรษฐกิจ AI ช่วงสิ้นปี 2568 ชี้ว่า รายได้จากบริการคลาวด์ และโฆษณาเติบโตสูง แต่ต้นทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานเอไอกลับพุ่งขึ้นเร็วกว่ากำไร
KEY
POINTS
- บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ ผลประกอบการเติบโตสูงกว่าคาด จากบริการคลาวด์และโฆษณา แต่ต้นทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานเอไอก็พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วจนกดดันกำไร
- การลงทุนที่สูงส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นของบางบริษัท เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่าค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วอาจไม่คุ้มค่าในระยะสั้น
โค้งสิ้นปี 2568 บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่อย่าง Microsoft, Google (Alphabet), Meta, Amazon และ Nvidia ต่างทยอยรายงานผลประกอบการประจำไตรมาสล่าสุด (Q3) ที่สะท้อนภาพเดียวกันคือ รายได้จากบริการคลาวด์และโฆษณาเติบโตสูงกว่าคาด แต่ต้นทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานเอไอกลับพุ่งขึ้นเร็วกว่ากำไร
พร้อมกันนั้น OpenAI บริษัทผู้พัฒนา ChatGPT ก็เริ่มวางรากฐานเพื่อเข้าตลาดหลักทรัพย์ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ด้วยมูลค่าที่อาจแตะระดับ 1 ล้านล้านดอลลาร์ นับเป็นสัญญาณของยุคเร่งขยายทุนในเศรษฐกิจปัญญาประดิษฐ์ที่ชัดเจนที่สุดนับตั้งแต่เอไอเริ่มเป็นกระแสหลัก
ไมโครซอฟท์กำไรสูง แต่เริ่มชนเพดานโครงสร้างพื้นฐาน
ไมโครซอฟท์ (Microsoft) รายงานผลประกอบการประจำไตรมาสกรกฎาคม - กันยายน 2568 ว่ามีรายได้รวม 77.7 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 18% จากปีก่อนหน้า และมีกำไรต่อหุ้น 3.72 ดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สร้างความกังวลให้ตลาดมากกว่าคือ งบลงทุนด้านทุนที่ทำสถิติสูงสุดถึง 35,000 ล้านดอลลาร์ในไตรมาสเดียว
บริษัทระบุว่า การใช้จ่ายดังกล่าวเป็นการขยายศูนย์ข้อมูลเพื่อรองรับความต้องการบริการคลาวด์และระบบปัญญาประดิษฐ์ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในธุรกิจอาชัวร์ (Azure) ซึ่งมีอัตราเติบโตถึง 40% ในช่วงเดียวกัน ขณะที่บริษัทคาดว่าการเติบโตของอาชัวร์ในไตรมาสถัดไปจะอยู่ที่ประมาณ 37% สูงกว่าที่ตลาดคาดไว้เล็กน้อย
เอมี่ ฮู้ด (Amy Hood) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินไมโครซอฟท์ ยอมรับว่า ข้อจำกัดด้านโครงสร้างพื้นฐานเริ่มกลายเป็นปัญหาจริงจัง และอาจต้องใช้เวลาอีกกว่า 1 ปีครึ่งกว่าจะขยายได้ทัน
อย่างไรก็ตาม หลังประกาศผลประกอบการ ราคาหุ้นไมโครซอฟท์ปรับลดลงเล็กน้อยจากแรงขายทำกำไรของนักลงทุน แม้ตัวเลขรายได้จะอยู่เหนือความคาดหมายของตลาด
เมตาทุ่มทุนสร้างเอไอสติปัญญาเหนือมนุษย์
ด้านเมตา (Meta) รายได้ไตรมาสล่าสุดโตขึ้น 26% แต่ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นถึง 32% เพราะบริษัทกำลังเร่งสร้างศูนย์ข้อมูลเอไอระดับโลก เพื่อรองรับโครงการที่ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของเมตา เรียกว่า ปัญญาประดิษฐ์ที่มีความสามารถเหนือมนุษย์ (Superintelligence)
เมตาเพิ่งจัดตั้งหน่วยงานใหม่ชื่อ Meta Superintelligence Labs เมื่อกลางปี 2568 เพื่อรวมทีมวิจัยและพัฒนาเอไอระดับสูงไว้ภายใต้ศูนย์กลางเดียว และเร่งดึงดูดบุคลากรด้านเอไอจากทั่วโลก บริษัทระบุว่า ค่าใช้จ่ายด้านค่าตอบแทนของบุคลากรเอไอจะเป็นหนึ่งในต้นทุนที่เติบโตสูงที่สุดในปีหน้า
หลังประกาศผลประกอบการ หุ้นเมตาร่วงกว่า 8% เพราะนักลงทุนเริ่มกังวลว่าการขยายการลงทุนมหาศาลนี้อาจกดดันผลกำไรในระยะสั้น แม้รายได้ยังเติบโตต่อเนื่อง
อัลฟาเบต (กูเกิล) รายได้ทะลุแสนล้านดอลลาร์เป็นครั้งแรก
อัลฟาเบต (Alphabet) บริษัทแม่ของกูเกิล (Google) รายงานรายได้ไตรมาส 3 ปี 2568 ที่ 102.35 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจาก 76.7 พันล้านในปีก่อน โดยถือเป็นครั้งแรกที่รายได้ทะลุระดับ “แสนล้านดอลลาร์”
โดยรายได้หลักยังมาจากธุรกิจค้นหาและโฆษณาออนไลน์ที่เติบโตสองหลัก ขณะที่ YouTube โตขึ้น 22% และธุรกิจคลาวด์โต 28% เมื่อเทียบปีต่อปี
รูธ พอแรต (Ruth Porat) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน ระบุว่า บริษัทกำลังลงทุนอย่างหนักในโครงสร้างพื้นฐานด้านเอไอ และคาดว่า งบลงทุนจะเพิ่มขึ้นเป็น 91 - 93 พันล้านดอลลาร์ในปีหน้า เพื่อรองรับความต้องการใช้งานคลาวด์ และโมเดล Gemini ที่เติบโตต่อเนื่อง
ซุนดาร์ พิชัย (Sundar Pichai) ประธานกรรมการบริหารของกูเกิล เปิดเผยว่า “กว่า 70% ของลูกค้าคลาวด์นำเอไอมาใช้จริงแล้ว” และแชตบอต Gemini 2.5 กำลังขยายสู่ผู้ใช้กว่า 650 ล้านคนทั่วโลก
อินวิเดียทะยานสู่บริษัทมูลค่า 5 ล้านล้านดอลลาร์
อินวิเดีย (Nvidia) คือ บริษัทที่กลายเป็น “หัวใจของเศรษฐกิจเอไอ” รายได้พุ่งขึ้นอย่างก้าวกระโดดจากความต้องการชิปประมวลผลจีพียูทั่วโลก จนบริษัทมีมูลค่าตลาดแตะ 5 ล้านล้านดอลลาร์ แซงหน้าแอปเปิ้ล (Apple) และไมโครซอฟท์ในบางช่วงของการซื้อขาย
เจนเซน หวง (Jensen Huang) ซีอีโออินวิเดียประกาศว่า อินวิเดียคาดจะสร้างรายได้รวมจากจีพียูมากกว่า 5 แสนล้านดอลลาร์ภายในปี 2569 หลังเปิดตัวชิปรุ่นใหม่ Blackwell ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับระบบเอไอระดับซูเปอร์คอมพิวเตอร์
อินวิเดียยังขยายความร่วมมือกับหน่วยงานและบริษัทต่างๆ เช่น กระทรวงพลังงานสหรัฐ (DOE), Uber, Oracle, Palantir, Nokia, Foxconn, Caterpillar และ Belden เพื่อสร้างระบบประมวลผลเอไอสำหรับอุตสาหกรรมเฉพาะทาง
อะเมซอนหุ้นผันผวน ทุ่มลงทุนเอไอต่อเนื่อง
แม้ราคาหุ้นจะเคลื่อนไหวผันผวนและขึ้นเพียง 4% ในปีนี้ แต่อะเมซอน (Amazon) ยังเดินหน้าเต็มกำลังกับการลงทุนในศูนย์ข้อมูลและโครงสร้างเอไอทั่วโลก
ธนาคารแห่งอเมริกาประเมินว่า การเติบโตของ Amazon Web Services (AWS), โฆษณาออนไลน์ และอีคอมเมิร์ซ จะช่วยพยุงผลกำไรในปีหน้า ขณะที่นักวิเคราะห์จาก JPMorgan เตือนว่า อะเมซอนอาจตามหลังไมโครซอฟท์ และกูเกิลในสนาม “เอไอเชิงสร้างสรรค์” แต่เชื่อว่าช่องว่างจะค่อยๆ แคบลงเมื่อ AWS ปรับโครงสร้างเสร็จ
โอเพนเอไอเตรียมเข้าสู่ตลาดหุ้นมูลค่าล้านล้านดอลลาร์
ในอีกฟากหนึ่งของสนาม เอไอระดับผู้บุกเบิกอย่าง โอเพนเอไอ (OpenAI) ก็เริ่มวางแผนเข้าตลาดหลักทรัพย์ (IPO) ภายในปี 2569 - 2570 ด้วยมูลค่าที่อาจสูงถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งหากเกิดขึ้นจริง จะกลายเป็นหนึ่งในการเสนอขายหุ้นครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของอุตสาหกรรมเทคโนโลยี
โอเพนเอไอมีรายได้ต่อปีประมาณ 20,000 ล้านดอลลาร์ แต่ยังคงขาดทุนจากการใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐานคอมพิวเตอร์มหาศาล เพื่อรองรับการขยายตัวของโมเดลเอไอรุ่นใหม่
บริษัทได้ปรับโครงสร้างองค์กรอีกครั้งในปีนี้ โดยให้มูลนิธิไม่แสวงกำไร Foundation ถือหุ้นราว 26% ในบริษัทแม่ เพื่อรักษาบทบาทด้านกำกับดูแลเชิงจริยธรรม
แซม อัลท์แมน (Sam Altman) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของโอเพนเอไอ ระบุว่า การเสนอขายหุ้นต่อสาธารณะอาจเป็นแนวทางที่เป็นไปได้มากที่สุด เพื่อระดมทุนขนาดใหญ่สำหรับสร้างโครงสร้างพื้นฐานเอไอในระยะยาว เขาย้ำว่า “ความต้องการเงินทุนของเราอยู่ในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อนในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี”
เส้นแบ่งใหม่ของเศรษฐกิจเทคโนโลยี
ภาพรวมของผลประกอบการจากบิ๊กเทคสิ้นปี 2568 แสดงให้เห็นว่า เศรษฐกิจเอไอกำลังเติบโตในเชิงรายได้ แต่ยังไม่ยั่งยืนในเชิงกำไร เพราะบริษัททุกแห่งต่างเร่งลงทุนในศูนย์ข้อมูล ชิป และบุคลากร เพื่อชิงความได้เปรียบทางเทคโนโลยี
นักวิเคราะห์บางส่วนเริ่มเปรียบเทียบสถานการณ์นี้กับ “ฟองสบู่ดอตคอม” ในช่วงปลาย 2533 - 2452 เมื่อบริษัทเทคโนโลยีทุ่มเงินมหาศาลโดยยังไม่รู้ว่ารายได้ระยะยาวจะคุ้มค่าหรือไม่
การแข่งขันครั้งนี้ไม่ได้อยู่แค่ในระดับนวัตกรรมซอฟต์แวร์ แต่คือการแข่งขันเพื่อครอบครองพลังประมวลผล ศูนย์ข้อมูล และบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญสูง ซึ่งกำลังกลายเป็นทรัพยากรหายากของศตวรรษที่ 21
แม้ยังไม่มีใครรู้ว่าการทุ่มลงทุนระดับแสนล้านดอลลาร์เหล่านี้จะนำไปสู่ความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจหรือไม่ แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนคือ โลกกำลังเข้าสู่ยุคที่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ไม่เพียงเป็นนวัตกรรม หากยังเป็น “อุตสาหกรรมหนัก” ของยุคดิจิทัลที่ทุกประเทศ และทุกบริษัทกำลังเร่งเข้าไปมีส่วนแบ่งในโครงสร้างใหม่นี้
อ้างอิง: Reuters 1, Reuters 2, CNBC, The Guardian, Yahoo Finance และ Business Insider







