โควิด-19 ฉุดไม่อยู่ เงินลงทุนวิจัยไทยปี 64 ทะลุ 2 แสนล้านบาท

โควิด-19 ฉุดไม่อยู่ เงินลงทุนวิจัยไทยปี 64 ทะลุ 2 แสนล้านบาท

วช.ร่วมกับ สอวช. เผยตัวเลขลงทุน R&D ของไทยเติบโตขึ้นต่อเนื่อง แม้เผชิญโควิด-19 ผลจากรัฐเพิ่มสัดส่วนการลงทุน คิดเป็นจำนวน 66,304 ล้านบาท และภาคเอกชน 141,705 ล้านบาท คิดเป็นจำนวนรวมกว่า 208,009 ล้านบาท

วันนี้ (20 พฤษภาคม 2565) ที่ศูนย์ข้อมูลสารสนเทศกลางด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมของประเทศ ทางกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ร่วมกับสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) จัดแถลงข่าว “ผลสำรวจค่าใช้จ่ายและบุคลากรด้านการวิจัยและพัฒนา ของประเทศไทย ปี 2563 (รอบสำรวจปี 2564)” เพื่อสะท้อนสถานภาพการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาของประเทศ  

พบว่าประเทศไทยมีค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนารวมทั้งสิ้น 208,010 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 1.33 ของ GDP ของประเทศ มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นจากปี 2562 คิดเป็นร้อยละ 7.74   

 โดยสัดส่วนการค่าใช้จ่ายและลงทุนเป็นภาคเอกชน ร้อยละ 68  หรือ  141,706 ล้านบาท ส่วนภาครัฐรวมถึงภาคอุดมศึกษา รัฐวิสาหกิจ และองค์กรที่ไม่แสวงหากำไร คิดเป็นร้อยละ 32   หรือ  66,304 ล้านบาท 
 

นายกิติพงค์ พร้อมวงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) เปิดเผยถึงการสำรวจค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนาของภาครัฐและภาคเอกชนของไทย ที่ได้ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2543 พบว่า ตัวเลขการลงทุนวิจัยและพัฒนาโดยรวมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2554 

แต่จากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ซึ่งเป็นวิกฤตที่ทั่วโลกต้องเผชิญ ทำให้ในปีสำรวจ 2563 สอวช. ได้คาดการณ์ว่า ค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนาจะลดลง และมีผลต่อเนื่องไปจนถึงปี 2565 จากผลกระทบดังกล่าว แต่หากต้องการรักษาให้มูลค่าการลงทุนวิจัยและพัฒนาให้อยู่ในระดับปกติ ภาครัฐต้องเพิ่มสัดส่วนการลงทุนเข้ามา 

จากข้อมูลการสำรวจค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนา ประจำปี 2564 (สำรวจข้อมูลปี 2563) ที่สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ได้ทำการสำรวจนั้น พบว่า ภาพรวมตัวเลขการลงทุนวิจัยและพัฒนาเติบโตขึ้น เป็นจำนวนรวมกว่า 208,009 ล้านบาท โดยเฉพาะอย่างยิ่งสัดส่วนการลงทุนของภาครัฐที่เพิ่มมากขึ้น คิดเป็นจำนวน 66,304 ล้านบาท และภาคเอกชน 141,705 ล้านบาท 

 

โดยสัดส่วนภาครัฐต่อภาคเอกชนอยู่ที่ร้อยละ 32 และร้อยละ 68 ตามลำดับ ซึ่งการลงทุนจากภาครัฐเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าถึงเกือบร้อยละ 10 สำหรับภาพรวมค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนาของประเทศต่อจีดีพียังเติบโตต่อเนื่องอยู่ที่ร้อยละ 1.33 จากปีก่อนหน้าที่อยู่ที่ร้อยละ 1.14 

“สอวช. มุ่งเน้นการขับเคลื่อนการทำงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อไปสู่เป้าหมายการลงทุนวิจัยและพัฒนาร้อยละ 2 ของจีดีพี ให้ได้ในปี 2570 โดยต้องมีมาตรการ กลไกที่ต้องเข้าไปช่วยกระตุ้นและส่งเสริมภาคเอกชนให้ลงทุนเพิ่มมากขึ้น หลังจากสถานการณ์โควิดเริ่มคลี่คลาย เพราะฉะนั้นมั่นใจได้ว่าในปี 2565-2567 หากทั้งภาครัฐและเอกชนใส่เงินลงไปที่การวิจัยและพัฒนาตรงนี้ 

สอวช. เองก็จะช่วยสนับสนุนให้เกิดกลไกที่เอื้อต่อการลงทุนควบคู่ไปด้วย จะทำให้การเติบโตของค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนาเติบโตและเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้” นายกิติพงค์ กล่าว

โควิด-19 ฉุดไม่อยู่ เงินลงทุนวิจัยไทยปี 64 ทะลุ 2 แสนล้านบาท
กิติพงค์ พร้อมวงค์ ผู้อำนวยการ สอวช.

ในมุมหน่วยงานด้านนโยบาย สอวช. ตั้งเป้าหมายใหญ่ของประเทศที่จะขับเคลื่อนด้วยการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อววน.) ให้สำเร็จภายในปี 2570 ได้แก่ 

1) ขับเคลื่อนประเทศไทยพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง โดยเพิ่มจำนวนบริษัทที่มีนวัตกรรมที่มีขนาดมากกว่า 1,000 ล้านบาท ให้ได้ 2,000 บริษัท และส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เพิ่มขึ้นสูงกว่า 1.5 เท่าของการเติบโตรายได้ครัวเรือนเฉลี่ยของประเทศ 


2) เพิ่มสัดส่วนแรงงานทักษะสูงให้เป็น 25% ในปี 2570 ผ่านแพลตฟอร์มพัฒนากำลังคนสมรรถนะสูงรองรับการลงทุนและการพัฒนาประเทศ 


3) มีแพลตฟอร์มขับเคลื่อนการขยับสถานะทางสังคมและรายได้ของประชากรกลุ่มฐานรากหรือ Social Mobility จำนวน 1 ล้านคน 


4) ผลักดัน 50% ของบริษัทส่งออกให้บรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ 

โควิด-19 ฉุดไม่อยู่ เงินลงทุนวิจัยไทยปี 64 ทะลุ 2 แสนล้านบาท

การจะไปสู่เป้าหมายได้ต้องมีการสร้างเศรษฐกิจใหม่ (New Economy) ด้วยเทคโนโลยี นวัตกรรม ทุนทางวัฒนธรรม และความคิดสร้างสรรค์ ใช้แนวทางการขับเคลื่อนประเทศออกจากกับดักรายได้ปานกลางผ่าน Three-Pronged Strategy ที่ประกอบด้วย

1) อุตสาหกรรมที่ใช้ความรู้เป็นฐาน หรือ Knowledge-Based Industry 2) อุตสาหกรรมที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์และทุนทางวัฒนธรรมเป็นฐาน หรือ Creative & Cultural-Based Industry และ 3) เศรษฐกิจท้องถิ่น หรือ Local Economy 

ในการขับเคลื่อน Knowledge-Based Industry ด้วยเศรษฐกิจนวัตกรรม (Innovation Economy) มุ่งเน้นการเพิ่มผู้ประกอบการฐานนวัตกรรม (Innovation-Driven Enterprise หรือ IDE) ทั้งปริมาณและคุณภาพ ให้เป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาประเทศ และมีการพัฒนางานวิจัยและนวัตกรรมให้ตรงกับความต้องการและทิศทางการพัฒนาประเทศ 

โควิด-19 ฉุดไม่อยู่ เงินลงทุนวิจัยไทยปี 64 ทะลุ 2 แสนล้านบาท

นอกจากนี้ยังมีแนวทางการขับเคลื่อนด้วยเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy หรือ CE) แพลตฟอร์มเพื่อสร้างระบบนิเวศนวัตกรรม (innovation ecosystem) มีการริเริ่มทำ CE Innovation Policy Platform นำไปสู่การจัดทำ CE Design & Solution Platform ส่งเสริมผู้ประกอบการที่ประกอบธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจหมุนเวียน

ส่วนการขับเคลื่อน Creative & Cultural-based Industry เริ่มจากการให้ความสำคัญกับทุนทางวัฒนธรรมในพื้นที่ จากนั้นใช้กลไกการส่งเสริมด้วยวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ววน.)

โควิด-19 ฉุดไม่อยู่ เงินลงทุนวิจัยไทยปี 64 ทะลุ 2 แสนล้านบาท

ไม่ว่าจะเป็นการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่ออุตสาหกรรมสร้างสรรค์ การวิจัยและพัฒนาองค์ความรู้เพื่ออุตสาหกรรมสร้างสรรค์ การบ่มเพาะและพัฒนาผู้ประกอบการสร้างสรรค์ และการพัฒนาพื้นที่และเครือข่ายสร้างสรรค์ มีเป้าหมายเพื่อให้เกิดธุรกิจสร้างสรรค์ ต่อยอดจากทุนทางวัฒนธรรม 

ในแง่ของชุมชน ทำให้มีแนวทางอนุรักษ์และสืบทอดทุนวัฒนธรรมให้คงอยู่ต่อไป และสามารถแปลงทุนทางวัฒนธรรมที่มีเพื่อต่อยอดและสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้ และในแง่เครือข่าย มีการวางแผนและผลักดันให้เมืองเป็นเครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ของยูเนสโก

สำหรับการขับเคลื่อน Local Economy ผ่านการส่งเสริมให้เกิด social enterprise เชื่อมโยงเครือข่ายและสนับสนุนการพัฒนาธุรกิจ การพัฒนาผู้ประกอบการนวัตกรรม เพื่อกระตุ้นให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจในพื้นที่

โดยการมองหาโอกาสจากความขาดแคลนและพัฒนาให้เกิดเป็นธุรกิจ เชื่อมโยงเครือข่ายทั้งจากภายในและภายนอกพื้นที่ ทั้งภาครัฐ เอกชน และชุมชน เพื่อก่อให้เกิดการสร้างระบบนิเวศที่จะสนับสนุนให้เกิดผู้ประกอบการนวัตกรรม ที่สามารถพัฒนาไอเดียให้เกิดเป็นธุรกิจและเกิดกิจกรรมเศรษฐกิจในพื้นที่ได้ 

โดยภาครัฐมีหน้าที่สร้างแรงจูงใจให้เกิดการทำงานร่วมกันเป็นเครือข่ายและเป็นระบบนิเวศ นอกจากนี้ยังมีแนวทางการขจัดความยากจนแบบตรงจุด จากการใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูล เพื่อพัฒนานโยบายนวัตกรรมขจัดความยากจน

โควิด-19 ฉุดไม่อยู่ เงินลงทุนวิจัยไทยปี 64 ทะลุ 2 แสนล้านบาท

รวมถึงการสนับสนุนให้เกิดโครงการมหาวิทยาลัยสู่ตำบล U2T สร้างงาน สร้างรายได้ให้ชุมชน สนับสนุนให้มหาวิทยาลัยใช้องค์ความรู้ งานวิจัย เทคโนโลยี นวัตกรรม และทรัพยากรมาใช้พัฒนาพื้นที่พัฒนาประเทศ และนำโจทย์หรือปัญหาของประเทศมาสู่การพัฒนาศักยภาพกำลังคน องค์ความรู้ เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อขับเคลื่อนประเทศ 

การขับเคลื่อนด้านนโยบายในส่วนอื่นๆ ยังมีแนวทางการสร้างทักษะใหม่ (new skill) สนับสนุนเศรษฐกิจใหม่ ด้วยการส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างต่อเนื่อง (lifelong learning) มีการส่งเสริมให้เกิดระบบนิเวศของการupskill/reskill/new skill เพื่อผลิตกำลังคนรองรับเศรษฐกิจสร้างสรรค์และเศรษฐกิจอุตสาหกรรมให้ได้ตามเป้าหมาย 100,000 คนต่อปี

ตัวอย่างนโยบายที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) อยู่ระหว่างการขับเคลื่อน เช่น การผลักดันให้เกิด พ.ร.บ. ส่งเสริมการใช้ประโยชน์ผลงานวิจัยและนวัตกรรม พ.ศ. 2564, มาตรการ Thailand Plus Package การรับรองการจ้างแรงงานลูกจ้างที่มีทักษะสูงและการรับรองหลักสูตรฝึกอบรมเพื่อพัฒนาบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ หรือคณิตศาสตร์ (STEM), 

โควิด-19 ฉุดไม่อยู่ เงินลงทุนวิจัยไทยปี 64 ทะลุ 2 แสนล้านบาท
วิภารัตน์  ดีอ่อง  ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ

ระเบียงเศรษฐกิจนวัตกรรม แม่โขง-ล้านช้าง Route No.1 Innovation Economic Corridor เพื่อเพิ่มมูลค่าทางการค้ากลุ่มคลัสเตอร์เป้าหมายในเส้นทางที่เชื่อมโยงกับประเทศใกล้เคียง, กองทุนนวัตกรรม (Innovation Fund) ที่ภาครัฐร่วมกับภาคเอกชนสนับสนุนทุนด้านนวัตกรรมให้แก่ SME กลไกสนับสนุนการจัดการศึกษารูปแบบใหม่ (higher education  sandbox) ส่งเสริมการจัดการศึกษาเพื่อผลิตกำลังคนให้ตอบโจทย์ความต้องการมากยิ่งขึ้น ผ่านการจัดการศึกษาที่แตกต่างไปจากมาตรฐานการอุดมศึกษา, 

การปรับระบบการให้ทุน ววน. มีการจัดตั้งกองทุนส่งเสริม ววน. ในการจัดสรรงบประมาณวิจัยและนวัตกรรมให้กับหน่วยบริหารและจัดการทุน (PMU) เพื่อนำไปสนับสนุนทุนวิจัยและนวัตกรรมให้กับมหาวิทยาลัย สถาบันวิจัย รวมถึงภาคเอกชนหรือหน่วยงานผู้ใช้ประโยชน์ 

ในปีงบประมาณ 2566 รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณเข้ากองทุน ววน. ไปแล้วกว่า 17,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ได้รับการจัดสรร 14,000 ล้านบาท หลังจากนี้ต้องดูว่าในกองทุนอื่นๆ ที่มีอยู่ จะทำความร่วมมือเพื่อนำเม็ดเงินมาลงในเรื่องการวิจัยและพัฒนาให้เพิ่มขึ้นได้อย่างไร

นอกจากนี้ยังมีการขับเคลื่อนการปฏิรูปการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ใน 4 ด้าน ได้แก่ ด้านงบประมาณ เช่น การบริหารกองทุนส่งเสริม ววน.

โดยมีหลักการเพื่อให้สามารถจัดสรรงบประมาณแบบ multi-year และ block grant, ด้านการบริหารจัดการ เช่น การจัดทำผังโครงสร้างข้อมูลด้าน ววน. เพื่อการติดตามนโยบาย ยุทธศาสตร์และแผนด้าน ววน., ด้านโครงสร้างระบบหน่วยงาน 

เช่น การจัดตั้งหน่วยบริหารและจัดการทุนเฉพาะด้านภายใต้สภานโยบาย (บพค., บพข., บพท.), ด้านการส่งเสริมระบบนิเวศนวัตกรรม เช่น มาตรการสนับสนุนทุนแก่ภาคเอกชนเพื่อพัฒนาผลงานวิจัยและนวัตกรรม ตามความต้องการของภาครัฐหรือตามอุปสงค์ของตลาด (Thailand Business Innovation Research หรือ TBIR) เป็นต้น

โควิด-19 ฉุดไม่อยู่ เงินลงทุนวิจัยไทยปี 64 ทะลุ 2 แสนล้านบาท

 นางสาววิภารัตน์  ดีอ่อง  ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ  กล่าวว่า ผลสำรวจดังกล่าว ถือเป็นดัชนีชี้วัดสำคัญที่สะท้อนให้เห็นถึงสถานภาพการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนา ที่จะนำไปสู่การพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิจัยและนวัตกรรมของประเทศ  

อีกทั้งเป็นข้อมูลที่จะประกอบการกำหนดนโยบายและยุทธศาสตร์ด้านการวิจัยและนวัตกรรม การติดตามประเมินผล ตลอดจนใช้วัดศักยภาพการพัฒนาและขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย
    
     แม้ภาพรวมค่าใช้จ่ายฯ ด้านวิจัยและพัฒนาของประเทศจะเพิ่มสูงขึ้น  จากภาครัฐที่ใส่เม็ดเงินลงทุนเพิ่มขึ้น  แต่สัดส่วนการลงทุนของภาคเอกชน ได้ลดลงจากร้อยละ 77 %  ในปี 2562    เนื่องจากผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19  

โควิด-19 ฉุดไม่อยู่ เงินลงทุนวิจัยไทยปี 64 ทะลุ 2 แสนล้านบาท

โดย 3 อุตสาหกรรมที่ยังมีค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนาสูงสุด ในปี 2563  คือ
    - อุตสาหกรรมอาหาร  32,545 ล้านบาท  เนื่องจากผู้ประกอบการยังลงทุนในการวิจัยเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ให้เป็นที่ต้องการของตลาดเพิ่มมากขึ้น เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาด และพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ  
    - อุตสาหกรรมการก่อสร้าง  11,862 ล้านบาท  ซึ่งมีการวิจัยและพัฒนาวิศวกรรมการป้องกันภัย  การตรวจสอบ และการระงับอัคคีภัย ที่สามารถเชื่อมต่อเข้ากับสมาร์ทโฟนได้ และมีการวิจัยเพื่อพัฒนาวัสดุก่อสร้างแบบประหยัดพลังงานเพื่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม 
    - อุตสาหกรรมอุปกรณ์ไฟฟ้า 11,675 ล้านบาท ที่มีค่าใช้จ่ายทางด้านวิจัยและพัฒนาสูงขึ้น เนื่องจากมีการลงทุนกับเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือนมากยิ่งขึ้น จากพฤติกรรมผู้บริโภคที่มีการทำงานที่บ้านมากยิ่งขึ้น

    สำหรับจำนวนบุคลากรด้านการวิจัยและพัฒนา ในปี 2563 พบว่า ประเทศไทยมีจำนวนบุคลากรด้านการวิจัยและพัฒนาที่ทำงานเทียบเท่าเต็มเวลา (Full-time equivalent: FTE) รวมทั้งสิ้น 168,419 คน/ปี (เพิ่มขึ้นจากปีก่อนคิดเป็นร้อยละ 1) โดยคิดเป็นสัดส่วน 25 คน/ปี ต่อประชากร 10,000 คน 

    ซึ่งแบ่งเป็นบุคลากรด้านการวิจัยและพัฒนา (แบบ FTE) ภาคเอกชน จำนวน 119,264 คน/ปี และภาคอื่น ๆ (รัฐบาล, อุดมศึกษา, รัฐวิสาหกิจ และเอกชนไม่ค้ากำไร) จำนวน 49,155 คน/ปี หรือคิดเป็นสัดส่วนบุคลากรด้านการวิจัยและพัฒนา (แบบ FTE) ของภาคเอกชนต่อภาคอื่น ๆ อยู่ที่ร้อยละ 71:29 

 โดยตั้งเป้าหมายภายในปี 2570 จะเพิ่มจำนวนบุคลากรด้านการวิจัยและพัฒนา (แบบ FTE) ให้มีสัดส่วนอยู่ที่ 40 คน/ปี ต่อประชากร 10,000 คน.