'Black Box' แก้ปมโจทย์การศึกษาในโลกที่ไม่ปกติ เรียนรู้ได้ด้วยตนเอง

เมื่อสงครามไม่ใช่เหตุเดียว และการศึกษาต้องยืดหยุ่นกว่าที่เคย ในโลกยุคใหม่ ความไม่ปกติไม่ได้มาในฐานะ “เหตุฉุกเฉิน” อีกต่อไป
แต่มาในฐานะ “สภาพแวดล้อมถาวร” ที่มนุษย์ต้องใช้ชีวิตอยู่ภายใน สงคราม ภัยพิบัติ โรคอุบัติใหม่ ความผันผวนทางเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และเทคโนโลยีที่เคลื่อนตัวเร็วกว่าสถาบัน ล้วนไม่ได้เกิดสลับกันเป็นช่วง ๆ หากซ้อนทับกันเป็นฉากหลังของชีวิตผู้คนจำนวนมาก โดยเฉพาะเด็ก
ภายใต้ฉากหลังเช่นนี้ คำถามสำคัญที่สุดอาจไม่ใช่คำถามของนักนโยบายหรือผู้เชี่ยวชาญ แต่คือคำถามเรียบง่ายของเด็กบางคน ไม่ใช่คำถามว่า จะเรียนอะไรดี แต่คือคำถามที่เบากว่านั้น และหนักกว่านั้น “พรุ่งนี้ยังจะปลอดภัยพอให้ฝันต่อได้ไหม”
คำถามเช่นนี้ไม่ใช่ถ้อยคำเชิงอารมณ์ หากเป็นตัวชี้วัดเชิงโครงสร้างที่แม่นยำกว่าสถิติทั้งระบบ เพราะมันท้าทายสมมติฐานพื้นฐานของการศึกษาในศตวรรษที่ 21 ว่า เรากำลังออกแบบระบบการเรียนรู้บนโลกแบบใด และเพื่อเด็กกลุ่มใด
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
‘เริม’ โรคกวนใจไม่อันตรายร้ายแรง แต่ เป็นแล้วไม่หายขาด
2 ใน 3 คนไทยเครียดไม่รู้ตัว ทำร้ายชีวิต ‘คนวัยทำงาน’ ชวนดูแลสุขภาพใจ
เงื่อนไขการศึกษา ผลักเด็กออกจากระบบ
เมื่อการเรียนรู้ยังถูกผูกไว้กับเงื่อนไขของ “ความปกติ” โลกที่ไม่ปกติย่อมผลักเด็กจำนวนหนึ่งออกจากระบบโดยอัตโนมัติ ไม่ใช่เพราะเขาอ่อนแอ แต่เพราะระบบไม่เคยถูกออกแบบมาเพื่อรองรับชีวิตที่เปราะบาง และเมื่อการเรียนรู้หยุด สิ่งที่หยุดตามไปด้วยไม่ใช่เพียงชั้นเรียน แต่คือเส้นทางอนาคตของเด็ก และศักยภาพของสังคมในระยะยาว
สงครามเป็นเหตุหนึ่ง แต่ไม่ใช่เหตุเดียว เมื่อระบบการศึกษาถูกทดสอบด้วยความผันผวนถาวร ภาวะสงครามในพื้นที่ชายแดนคือภาพสะท้อนที่ชัดเจนที่สุดภาพหนึ่ง เมื่อความปลอดภัย การดำรงชีวิต และปัจจัยพื้นฐานต้องมาก่อนห้องเรียน การเรียนรู้ของเด็กจึงหลุดวงโคจรอย่างฉับพลัน ไม่ใช่เพราะเด็กไม่อยากเรียน แต่เพราะชีวิตไม่เอื้อให้เรียนได้ตามระบบ
แต่หากมองให้ลึกกว่านั้น สงครามเป็นเพียง “เหตุการณ์ปลายยอด” ของปัญหาใหญ่กว่า คือโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยความผันผวนและความเสี่ยงซ้อนทับ ตั้งแต่สภาพภูมิอากาศสุดขั้ว ภัยพิบัติที่เกิดถี่ เทคโนโลยีที่เปลี่ยนเร็วกว่าองค์กรจะปรับตัว โรคอุบัติใหม่ ไปจนถึงความเหลื่อมล้ำที่ทำให้เด็กจำนวนมาก “เข้าไม่ถึงความปกติ” ตั้งแต่แรก
กรอบคิดเชิงนโยบายระดับนานาชาติเริ่มชัดขึ้นเรื่อย ๆ ว่า ระบบการศึกษาต้องไม่เพียง “ตอบสนองต่อวิกฤต” แต่ต้อง “มีภูมิคุ้มกันต่อความผันผวน” และสร้างสมรรถนะเพื่ออนาคตไปพร้อมกัน OECD เสนอกรอบเรื่อง responsiveness และ resilience เพื่อทำให้ระบบการศึกษาปรับตัวได้และยืนหยัดได้เมื่อเกิดการหยุดชะงัก ขณะที่ UNESCO เน้นย้ำว่าการเรียนรู้ต้องดำเนินต่อได้แม้ในภาวะฉุกเฉิน และสถานศึกษายังคงเป็นพื้นที่ปลอดภัยของผู้เรียน
Black Box ‘การเรียนรู้ไม่ต้องรอความพร้อม’
เมื่อการศึกษาเดินทางไปหาเด็ก ภายใต้บริบทดังกล่าว ช่วงสัปดาห์คริสต์มาสปลายเดือนธันวาคม 2568 มหาวิทยาลัยศรีปทุม วิทยาเขตชลบุรี ร่วมกับมูลนิธิเพื่อทักษะแห่งอนาคต ภายใต้การสนับสนุนจากกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ได้ลงพื้นที่ศูนย์อพยพในเขตชายแดน จังหวัดสระแก้ว เพื่อนำชุดการเรียนรู้ “Black Box” ไปมอบให้แก่เด็กที่ต้องหยุดการเรียนในระบบ
สาระสำคัญของกิจกรรมนี้จึงไม่ใช่ “ภาพกิจกรรม” หากเป็น “ความหมายของกิจกรรม” เพราะการมอบ Black Box ไม่ได้เป็นเพียงการแจกสื่อการเรียนรู้ แต่เป็นการสื่อสารเชิงสัญญะว่า เด็กไม่ควรถูกปล่อยให้อยู่ลำพังกับคำถามเรื่องความปลอดภัยและอนาคต และแม้โลกจะไม่ปกติ การเรียนรู้ของเด็กยังคงมีความหมาย
“ในภาวะสงคราม เด็กไม่ได้สูญเสียแค่โอกาสทางการศึกษา แต่สูญเสียความรู้สึกมั่นคงในชีวิต คำถามของเด็กจึงไม่ใช่เรื่องบทเรียน แต่คือเรื่องความปลอดภัยและอนาคต”
รศ.ดร.ธันยวิช วิเชียรพันธ์ ผู้อำนวยการกลุ่มงานวิจัยและแผนพัฒนามหาวิทยาลัย กล่าวว่า Black Box คือ กล่องออฟไลน์ที่ออกแบบให้ ‘การเรียนรู้ไม่ต้องรอความพร้อม’
Black Box ชุดการเรียนรู้แบบออฟไลน์ ที่ออกแบบให้เด็กสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง แม้ไม่มีอินเทอร์เน็ต ไม่มีห้องเรียน และไม่มีตารางเวลาตายตัว ภายในกล่องไม่ใช่คำตอบสำเร็จรูป แต่เป็นโครงสร้างการเรียนรู้ที่ชวนให้เด็กคิด ทดลอง ลงมือทำ และเชื่อมโยงการเรียนรู้เข้ากับชีวิตจริงของตนเอง ตรรกะของ Black Box แตกต่างจากการศึกษาที่คุ้นเคย หากระบบเดิมถามว่า “เด็กจำได้ไหม” Black Box กลับถามว่า “เด็กทำได้ไหม” และ “เด็กใช้ความรู้เพื่อยืนอยู่ในชีวิตจริงได้หรือไม่” ซึ่งในภาวะวิกฤต คำถามแบบหลังคือเงื่อนไขสำคัญของการดำรงชีวิต
“Black Box ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อแทนโรงเรียน แต่ถูกออกแบบมาเพื่อประคองการเรียนรู้ ในช่วงเวลาที่โรงเรียนไม่สามารถทำหน้าที่ได้เต็มที่”
รศ.ดร.ธันยวิช กล่าวต่อไปว่า ในศูนย์อพยพ เด็ก ๆ ใช้การเรียนรู้เป็นเครื่องมือในการดูแลชีวิต ตั้งแต่การจัดการอาหาร น้ำสะอาด สุขภาพขั้นพื้นฐาน ไปจนถึงการรักษากำลังใจและความหวังต่อวันข้างหน้า นัยสำคัญคือ Black Box ไม่ได้ทำหน้าที่เพียงลด Learning Loss แต่ทำหน้าที่ประคองทั้ง “การเรียนรู้” และ “หัวใจของเด็ก” ในช่วงเวลาที่ความกลัว ความสูญเสีย และความไม่มั่นคงทับซ้อนอยู่ในชีวิตประจำวัน
บทเรียนเชิงระบบ จากสมมติฐานเดิม สู่สมมติฐานใหม่ของการศึกษา กรณีพื้นที่ชายแดนสระแก้วสะท้อนจุดอ่อนของสมมติฐานเดิมของระบบการศึกษา ที่เชื่อว่าเด็กทุกคนต้องมาโรงเรียนได้ มีเวลาเหมือนกัน มีทรัพยากรขั้นต่ำพร้อม และอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มั่นคงพอให้ตารางเรียนทำงานได้ แต่โลกใหม่กำลังบอกว่า สมมติฐานนี้ไม่ใช่ฐานที่มั่นอีกต่อไป
วิกฤตอาจมาในรูปสงคราม ภัยพิบัติ โรคระบาด หรือการย้ายถิ่น และมีแนวโน้มจะเกิดซ้ำอย่างถาวร งานของ OECD ชี้ชัดว่า การหยุดชะงักทางการศึกษาไม่ได้กระทบเพียงผลสัมฤทธิ์ แต่ขยายความเหลื่อมล้ำและต้นทุนทางสังคมในระยะยาว สมมติฐานใหม่จึงต้องเปลี่ยนจาก เด็กต้องปรับตัวเข้าหาระบบ เป็นระบบต้องขยับไปหาเด็ก และมีความยืดหยุ่นเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างหลัก
รศ.ดร.ธันยวิช กล่าวว่า ข้อเสนอเชิงนโยบาย ที่จะทำให้ความยืดหยุ่นเป็นระบบ ไม่ใช่โครงการ จากบทเรียนพื้นที่และแนวโน้มโลก ข้อเสนอเชิงนโยบายที่สำคัญ ได้แก่ การทำให้การศึกษาที่ยืดหยุ่นเป็นส่วนหนึ่งของระบบหลัก ไม่ใช่ทางเลือกพิเศษ สนับสนุนสื่อและโครงสร้างพื้นฐานแบบดิจิทัลควบคู่ออฟไลน์ บูรณาการการดูแลสุขภาวะทางใจเข้าในนโยบายการศึกษา เปิดพื้นที่ให้ชุมชนและภูมิปัญญาท้องถิ่นมีบทบาท และปรับบทบาทรัฐจากผู้ควบคุมรูปแบบ ไปเป็นผู้อำนวยความเป็นไปได้
โลกจะไม่กลับไปเหมือนเดิม ดังนั้นการศึกษาต้องมีมากกว่าหนึ่งคำตอบ กรณี Black Box ที่สระแก้วในปลายปี 2568 ไม่ใช่เพียงกิจกรรมช่วยเหลือในภาวะสงคราม หากเป็นบททดสอบเชิงนโยบายว่า ระบบการศึกษาไทยพร้อมเพียงใดที่จะอยู่กับโลกที่ไม่ส่งสัญญาณล่วงหน้า และเมื่อความไม่ปกติกลายเป็นความปกติ คำถามจึงไม่ใช่ว่าเราจะรอให้โลกกลับมาปกติเมื่อไร แต่คือเราจะออกแบบการศึกษาให้เดินไปกับโลกแบบนี้ได้อย่างไร โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
“การศึกษาที่ยืดหยุ่น ไม่ใช่สิ่งพิเศษสำหรับเด็กบางกลุ่ม แต่คือสิ่งปกติที่จำเป็น เพื่อไม่ให้มนุษย์บางคนถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ท่ามกลางความหนาวเหน็บ โดยไม่รู้ว่าแสงสว่างที่ปลายทางอยู่ไกลแค่ไหน” เพราะท้ายที่สุด การศึกษาไม่ใช่แค่เรื่องเรียน แต่คือเรื่องของการไม่ปล่อยให้ใครคนหนึ่งหายไปจากอนาคตของสังคม รศ.ดร.ธันยวิช กล่าวทิ้งท้าย







