"วัคซีนรักษามะเร็งเฉพาะบุคคล" ใช้รักษาไม่ใช่ป้องกัน คาดใช้จริงภายใน4 ปี

"วัคซีนรักษามะเร็งเฉพาะบุคคล" ใช้รักษาไม่ใช่ป้องกัน คาดใช้จริงภายใน4 ปี

จุฬาฯ เตรียมนำ “วัคซีนรักษามะเร็งเฉพาะบุคคล”ไปใช้จริงใน 4 ปี ย้ำใช้รักษาไม่ใช่ป้องกัน พบอาสาสมัครภูมิขึ้น-ผลข้างเคียงน้อย เตรียมนำไปใช้จริงภายใน 4 ปี

วันนี้ (10 ก.พ.2565) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แถลงข่าวผล “ความก้าวหน้าวัคซีนรักษามะเร็งเฉพาะรายบุคคล นวัตกรรมแห่งความหวังของสังคมไทย” โดยศูนย์ความเป็นเลิศด้านภูมิคุ้มกันบำบัดมะเร็ง คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ และ รพ.จุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ภายในงานเสวนาวิชาการ Chula the Impact ครั้งที่ 7 เพื่อนำเสนอความคืบหน้าล่าสุดของนวัตกรรมการรักษาโรคมะเร็งด้วยวัคซีน

ศ.นพ.บัณฑิต เอื้ออาภรณ์ อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่าจุฬาฯ ได้วางยุทธศาสตร์หลักที่ชัดเจนในการเป็นมหาวิทยาลัยนวัตกรรมชั้นนำที่มุ่งสร้างสรรค์ความรู้ และผลผลิตจากการศึกษาวิจัย ตลอดจนสร้างบัณฑิตที่เป็นนวัตกร เพื่อเป็นกำลังหลักในการร่วมสร้างสังคมไทย พร้อมทั้งเชื่อมโยงกับประชาคมโลก ในฐานะมหาวิทยาลัยระดับชาติที่ก้าวสู่ความเป็นนานาชาติอย่างเต็มภาคภูมิ

โครงการแพทย์จุฬาฯ พัฒนางานวิจัยภูมิคุ้มกันบำบัดมะเร็ง เป็นโครงการวิจัยขนาดใหญ่ของจุฬาฯ ซึ่งเกิดจากการผนึกกำลังความร่วมมือจากหลายคณะและสถาบันในจุฬาฯ เพื่อให้การขับเคลื่อนงานที่ท้าทายเหล่านี้สามารถริเริ่มได้อย่างรวดเร็วทันการณ์

ทั้งนี้ จุฬาฯ ได้จัดตั้ง “กองทุนศตวรรษที่ 2 เพื่อการก้าวกระโดด ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย” ในการสนับสนุนโครงการวิจัยขนาดใหญ่ ซึ่งโครงการแพทย์จุฬาฯ พัฒนางานวิจัยภูมิคุ้มกันบำบัดมะเร็ง เป็นหนึ่งในตัวอย่างที่สำคัญของกองทุนนี้ เพื่อร่วมกันวิจัยและพัฒนาวิธีการรักษาโรคมะเร็งด้วยภูมิคุ้มกันบำบัด ซึ่งเป็นวิธีการรักษาแบบใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูง เพื่อแก้ไขปัญหาโรคมะเร็งที่พบมากขึ้นในสังคมสูงวัยของประเทศไทย 

 

  • ยารักษามะเร็งในปัจจุบัน ไม่เฉพาะบุคคล

รศ.ดร.นพ.วิโรจน์ ศรีอุฬารพงศ์ หัวหน้าศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์โรคมะเร็งครบวงจร รพ.จุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย  กล่าวว่า ในปัจจุบันการให้ยารักษามะเร็ง มีแนวทางหลัก 3 วิธี คือ

1.ยาเคมีบำบัด เป็นการรักษาที่ค่าใช้จ่ายไม่สูง มีประสิทธิภาพปานกลาง และอาจมีผลข้างเคียงที่มากได้

2.ยามุ่งเป้า เป็นการให้ยารักษาที่จำเพาะต่อการกลายพันธุ์ของมะเร็ง มีประสิทธิภาพจำเพาะเฉพาะในรายที่มีการกลายพันธุ์ตรงกับตัวยา อาการข้างเคียงมักจะไม่รุนแรงเมื่อเทียบกับยาเคมีบำบัด

3.ภูมิคุ้มกันบำบัด ปัจจุบันมีทั้งการรักษาแบบการให้ยาแอนติบอดี และการใช้เซลล์บำบัด ซึ่งทั้งสองแนวทางนี้ได้รับการอนุมัติให้ใช้รักษาโดยทั่วไปแล้ว มีประสิทธิภาพดี ไม่จำเพาะกับชนิดมะเร็ง และส่วนใหญ่ผลข้างเคียงน้อย แต่อาจมีผลข้างเคียงส่วนน้อยที่เกิดรุนแรงได้บางครั้ง

โดยในการวิจัยและพัฒนาการรักษาโรคมะเร็งด้วยภูมิคุ้มกันบำบัด มุ่งเน้นพัฒนาการรักษาใน 3 วิธีคือ เซลล์บำบัดมะเร็ง (CAR T-cells และ NK cells) วัคซีนรักษามะเร็งเฉพาะบุคคล (therapeutic cancer neoantigen vaccine) และยาแอนติบอดีต้านมะเร็ง (ยาภูมิต้านมะเร็ง, immune checkpoint inhibitor) ซึ่งภูมิคุ้มกันบำบัดทั้ง 3 วิธีนี้มีจุดเด่นที่แตกต่างกัน และสามารถใช้รักษาร่วมกัน และใช้ร่วมกับการรักษามะเร็งด้วยวิธีการอื่นๆ ได้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา เบื้องต้นในการศึกษาวิจัยวัคซีนมะเร็งหัวหน้าศูนย์ฯ กล่าว

 

  • "วัคซีนรักษามะเร็งเฉพาะบุคคล" ใช้รักษาไม่ใช่ป้องกัน

นพ.ไตรรักษ์ พิสิษฐ์กุล หัวหน้าศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาเชิงระบบ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวถึงการรักษา ด้วยวัคซีนรักษามะเร็งเฉพาะบุคคลว่า ทีมวิจัยได้พัฒนาวัคซีนรักษามะเร็งเฉพาะบุคคล มาตั้งแต่ปี 2560 จนถึงขั้นตอนทดสอบทางคลินิกระยะที่ 1 ให้กับอาสาสมัครตั้งแต่เดือนมกราคม 2564 นับเป็นการทดสอบทางคลินิกครั้งแรกในประเทศไทย และในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

การผลิตวัคซีนเฉพาะบุคคลนี้ ต้องใช้ข้อมูลการกลายพันธุ์ที่ตรวจพบในผู้ป่วยรายนั้น เพื่อกระตุ้นให้เกิดการสร้างภูมิคุ้มกันที่จำเพาะต่อการกลายพันธุ์ของมะเร็ง เนื่องจากมะเร็งของผู้ป่วยแต่ละคนมีการกลายพันธุ์ส่วนใหญ่ที่ต่างกัน การผลิตวัคซีนจึงต้องทำทีละ 1 ราย เพื่อสร้างให้เกิดการกระตุ้นภูมิคุ้มกันที่จำเพาะและมีประสิทธิภาพไว้ต่อสู้กับโรคมะเร็ง

ส่วนการให้วัคซีนรักษามะเร็งเฉพาะบุคคล เริ่มต้นด้วยการนำชิ้นเนื้อมะเร็งจากผู้ป่วยมาถอดรหัสพันธุกรรมใช้เวลาประมาณ 2 เดือน  เพื่อตรวจหาการกลายพันธุ์ที่พบในชิ้นเนื้อมะเร็งเท่านั้น ซึ่งไม่พบในเซลล์ปกติของร่างกาย

ต่อมา นำข้อมูลการกลายพันธุ์มาผลิตเป็นชิ้นส่วนของโปรตีนของมะเร็งที่กลายพันธุ์ขนาดเล็ก ที่มีเพียงข้อมูลการกลายพันธุ์แต่ไม่สามารถก่อโรคได้ โดยไม่มีการฉีดเซลล์มะเร็งเข้าในร่างกายแต่อย่างใด โดยผู้ป่วยไม่ต้องนอนโรงพยาบาล แต่จะต้องมารับวัคซียจำนวน 7 ครั้ง เว้นระยะ ในการฉีดเข็มกระตุ้น 1-2 เดือน หลังฉีดวัคซีนเม็ดเลือดขาวชนิด antigen presenting cells จะกินชิ้นส่วนโปรตีนกลายพันธุ์ที่ผลิตไว้ และกระตุ้นเม็ดเลือดขาวชนิดทีเซลล์ให้รู้จักการกลายพันธุ์ของมะเร็งมากขึ้นอย่างจำเพาะ

  • วิจัยวัคซีนในอาสาสมัคร พบผลข้างเคียงน้อย

นพ.ไตรรักษ์ กล่าวต่อว่า โดย 1 ปีที่ผ่านมา ทางทีมวิจัยได้ทดสอบวัคซีนรักษามะเร็งเฉพาะบุคคลกับอาสาสมัครผู้ป่วยมะเร็งจำนวน 4 ราย แบ่งเป็น ผู้ป่วยมะเร็งผิวหนังชนิดเมลาโนมา (melanoma) 3 ราย และมะเร็งไต 1 ราย พบว่าการฉีดวัคซีนมีความปลอดภัย พบผลข้างเคียงน้อย เช่น มีอาการปวดตรงจุดที่ฉีดวัคซีน ไม่พบผลข้างเคียงรุนแรง และหลังจากการฉีดวัคซีน 3 สัปดาห์ พบว่าหลังจากฉีดไป 3 สัปดาห์สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันในผู้ป่วยทั้ง 4 รายดีขึ้นอย่างชัดเจน และเป็นการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันที่มีความจำเพาะต่อชิ้นส่วนการกลายพันธุ์ของผู้ป่วยมะเร็งรายนั้นๆ

วัคซีนนี้จึงเป็นวัคซีนรักษามะเร็ง โดยนำข้อมูลจากชิ้นเนื้อมะเร็งมาผลิตวัคซีน ไม่ใช่วัคซีนป้องกันมะเร็ง และในต่างประเทศ เช่น ที่ม.ฮาร์วาร์ด มีการศึกษาพบว่าการใช้วัคซีนรักษามะเร็งเฉพาะบุคคลร่วมกับการให้ยาแอนติบอดีที่ช่วยเสริมการทำงานของภูมิคุ้มกันสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาให้สูงขึ้นได้นพ.ไตรรักษ์ กล่าว

นพ.ไตรรักษ์ กล่าวต่อไปว่า เมื่อประเมินการกระจายตัวของเม็ดเลือดขาวชนิดทีเซลล์ในชิ้นเนื้อมะเร็ง (T-cell tumor infiltration) พบถึงการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน ซึ่งก่อนฉีดวัคซีน ตรวจพบเซลล์เม็ดเลือดขาว อยู่บริเวณรอบนอกก้อนมะเร็งเป็นหลัก และหลังได้รับวัคซีน พบว่าเม็ดเลือดขาวมีการเปลี่ยนแปลง ตอบสนองในทางบวก มีการกระจายตัวเข้าไปในชิ้นเนื้อมะเร็งมากขึ้น โดยปัจจุบันผู้ป่วยรายนี้อาการคงที่หลังได้รับการรักษาด้วยวัคซีนมะเร็ง และตรวจติดตามเป็นเวลา 9 เดือน

  • เป้าหมายภายใน 4 ปี คนไทยได้ใช้วัคซีนรักษามะเร็ง

นพ.ไตรรักษ์ กล่าวอีกว่าเป้าหมายอีก 4 ปีข้างหน้า ทีมวิจัยจะเดินหน้าเข้าสู่การทดสอบทางคลินิกระยะถัดไป โดยเริ่มเปิดให้บริการในรพ.จุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย เมื่องานวิจัยสามารถพิสูจน์ถึงประสิทธิภาพและความปลอดภัย จะดำเนินการขึ้นทะเบียน และในขณะเดียวกัน ศูนย์ความเป็นเลิศด้านภูมิคุ้มกันบำบัดมะเร็ง จะทำการวิจัยและพัฒนายาแอนติบอดีรักษามะเร็ง หรือยาภูมิต้านมะเร็งคู่ขนานด้วย

ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการผลิตในโรงงานและจะเริ่มการทดสอบในสัตว์ทดสองภายในปีนี้  รวมไปถึงการเริ่มทดสอบทางคลินิกในผู้ป่วยมะเร็งในปี 2566 ซึ่งหากการพัฒนาวัคซีนรักษามะเร็งเฉพาะบุคคล และยาแอนติบอดีประสบผลสำเร็จ จะสามารถใช้การรักษาทั้ง 2 วิธีควบคู่กัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษามะเร็งให้ดีขึ้น และราคาที่จะช่วยให้ผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาได้

นอกจากนี้ทาง รพ.จุฬาฯ สภากาชาดไทย ได้ดำเนินการสร้างห้องปลอดเชื้อพิเศษทั้งเพื่อการผลิตเซลล์ และวัคซีนรักษามะเร็งเฉพาะบุคคลเพิ่มเติม ในอาคารบูรณาการวิจัยใหม่ร่วมกับอาคารรักษาพยาบาลที่เน้นการดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็งอย่างครบวงจร รวมกันเป็นศูนย์บูรณาการวิจัยและรักษาโรคมะเร็งของโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ซึ่งคาดว่าจะสร้างแล้วเสร็จในเดือนกุมภาพันธ์ 2567