กรมอนามัยแนะข้อปฏิบัติตรุษจีน เลี่ยงรวมกลุ่มญาติปลอดภัยจากโควิด19

กรมอนามัยแนะข้อปฏิบัติตรุษจีน เลี่ยงรวมกลุ่มญาติปลอดภัยจากโควิด19

กรมอนามัยแนะข้อปฏิบัติตรุษจีน เลี่ยงรวมกลุ่มญาติ ควรระมัดระวังสูงสุดคือ ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคประจำตัว เด็กเล็ก หญิงตั้งครรภ์ พร้อมกำชับมาตรการปลอดภัยในร.ร.

 ที่กระทรวงสาธารณสุข นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า ในระยะเวลาใกล้นี้จะถึงเทศกาลตรุษจีน ตรงกับวันที่ 1 ก.พ.65 จะมีกิจกรรมได้แก่ วันจ่าย ทั้งในตลาดและห้างสรรพสินค้า , วันไหว้ ที่บ้านและศาสนสถาน และ วันเที่ยว ตามสถานที่ต่างๆ ทั้ง 3 วัน มีความเสี่ยงของการรวมกลุ่มของญาติที่มาจากต่างสถานที่ ตลาดหรือห้างสรรพสินค้า บางแห่งมีความแออัด การเดินทางไปเที่ยว การรับประทานอาหารในร้าน ศาสนสถานเพื่อไหว้พระขอพร อาจแออัด ดังนั้นกรมมีคำแนะนำคือ ประชาชนควรเลือกซื้อในตลาด หรือห้างสรรพสินค้าที่ผ่านการประเมินไทยสต๊อปโควิด สถานที่มีการจัดระบบระบายอากาศที่ดี พนักงานรับวัคซีนแล้วทุกคน มีการคัดกรองคนเข้าไปใช้บริการ ที่สำคัญคือ ควรวางแผนก่อนซื้อ เพื่อใช้เวลาที่ตลาดน้อยที่สุด และจุดที่เลือกซื้อสินค้าไม่ควรมีคนแออัด หรืออาจพิจารณาเลือกซื้อของเซ่นไหว้ผ่านระบบออนไลน์ เพื่อลดความเสี่ยงต่างๆ 

  อธิบดีกรมอนามัย กล่าวต่อว่า ในวันรวมญาติ บุคคลที่เราควรระมัดระวังสูงสุดคือ ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคประจำตัว เด็กเล็ก หญิงตั้งครรภ์ ดังนั้นขอให้ทุกคนสวมหน้ากากอนามัยให้มากที่สุด ล้างมือ เว้นระยะห่าง กรณีหญิงตั้งครรภ์ ที่มีอายุครรภ์ 12 สัปดาห์ขึ้นไป ขอให้ไปรับวัคซีน การไหว้บรรพบุรุษในบ้าน ควรจัดระบบถ่ายเทอากาศให้ดี ไม่ควรปักธูปไว้บนอาหาร เลี่ยงการเผากระดาษ และปรุงอาหารให้ร้อนก่อนรับประทาน ส่วนการเดินทางไปสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ควรพกเจลแอลกอฮอล์ไปเอง และล้างมือบ่อยๆ กลับถึงบ้านก็ควรเปลี่ยนเสื้อผ้า อาบน้ำทันที ทั้งนี้มาตรการต่างๆ ที่กรมดำเนินการนั้น เพื่อสร้างความปลอดภัย ให้ทุกคนได้ใช้ชีวิตปกติใหม่ ในทุกที่ ทุกโอกาส ทุกเทศกาล

 ส่วนมาตรการความปลอดภัยจากโรคโควิด-19 ในโรงเรียนนั้น นพ.สราวุฒิ บุญสุข รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า สถานการณ์โรคโควิด-19 ในช่วงเดือน ม.ค.2565 พบว่า มีการติดเชื้อเพิ่มขึ้น โดยเด็กอายุ 13-19 ปี จะมีอัตราการติดเชื้อมากกว่าเด็กกลุ่มอื่น ส่วนความรุนแรงของโรคพบว่า ตั้งแต่เดือน พ.ย.2564- วันที่ 18 ม.ค.2565 มีเด็กอายุตำ่กว่า 18 ปี เสียชีวิต 1 คนถือเป็นอัตราที่ค่อนข้างต่ำ ส่วนการรับวัคซีนของเด็กนั้น พบว่า เด็กนักเรียนอายุ 12-18 ปี จำนวน 5 ล้านคน ได้รับเข็ม 1 จำนวน 4.5 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 88.44 เข็ม 2 จำนวน 4.09 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 79.66 และมีการขอรับวัคซีนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วนเด็กนักเรียนอายุ 5-11 ปี นั้น วัคซีนเด็กจะเข้ามาปลายเดือน ม.ค.65
ส่วนมาตรการป้องกันในโรงเรียนนั้น นพ.สราวุฒิ กล่าวว่า เมื่อโรงเรียนเปิดให้เด็กกลับมาเรียนในโรงเรียนแล้ว จะต้องมีมาตรการที่เข้มข้นในการคัดกรอง ป้องกันโรค มีแผนเผชิญเหตุ เช่น สวมหน้ากาก ล้างมือ คัดกรองอุณหภูมิก่อนเข้าเรียน ลดความแออัดในห้องเรียน ทำความสะอาดจุดสัมผัสร่วมบ่อยๆ ครู นักเรียน ฉีดวัคซีน การรับประทานอาหาร ต้องมีช้อนกลางส่วนตัว เป็นต้น โดยขณะนี้ ศบค.ชุดเล็ก ได้อนุมัติให้เด็กกลับมาเรียนในโรงเรียนได้หรือ การเรียนแบบออนไซด์ เกือบทุกพื้นที่แล้ว ขอให้โรงเรียนปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุขอย่างเข้มข้น เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับพ่อแม่ ผู้ปกครองและชุมชน

สำหรับแผนเผชิญเหตุเมื่อโรงเรียนพบการติดเชื้อ ควรปฏิบัติดังนี้ กรณีพบการติดเชื้อ 1 ห้องเรียน จำนวน 1-2 คน ให้ปิดห้องเรียนนั้น 3 วัน และทำความสะอาด นำผู้ติดเชื้อเข้าระบบการรักษา ผู้สัมผัสเสี่ยงสูง ให้หยุดเรียนและเรียนออนไลน์ ผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำให้เรียนออนไซด์ต่อไปและต้องสังเกตอาการ ไม่ต้องหยุดเรียนทั้งโรงเรียน , กรณีติดเชื้อมากกว่า 2 คนและมากกว่า 1 ห้องเรียน ให้ปิดห้องเรียนนั้น 3 วัน และทำความสะอาด ไม่ปิดทั้งโรงเรียน งดกิจกรรมรวมกลุ่มทุกกิจกรรม ผู้สัมผัสเสี่ยงสูงให้หยุดเรียนและเรียนออนไลน์ ผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำให้เรียนออนไซด์ต่อไปและต้องสังเกตอาการ , กรณีพบเด็กติดเชื้อเป็นคลัสเตอร์ ให้จัดศูนย์กักตัวในโรงเรียน การพิจารณาปิดโรงเรียนให้ทำโดยคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด

“เรามีข้อมูลที่ชัดเจนว่า ส่วนใหญ่เด็กนักเรียนจะติดเชื้อจากคนในครอบครัว ดังนั้นจะต้องทำให้ครอบครัวมีความเสี่ยงต่ำที่สุด และมีภูมิคุ้มกันสูงสุด โดยจัดสิ่งแวดล้อมในบ้านให้สะอาด ทำความสะอาดจุดสัมผัสร่วมในบ้านบ่อยๆ และปฏิบัติตนเองให้ปลอดภัย ด้วยการล้างมือบ่อยๆ ถ้าไปพื้นที่เสี่ยงมา ขอให้สวมหน้ากากอนามัยในบ้าน ไม่รวมกลุ่มกับเด็ก ผู้สูงอายุ ทั้งนี้เราพบว่า ยังมีเด็กนักเรียนร้อยละ 10 ที่ยังไม่รับวัคซีน ขณะที่ผู้ปกครอง ก็ยังไม่รับวัคซีนอีกร้อยละ 10 เช่นกัน กรณีเด็กซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงและจำเป็นต้องไปโรงเรียน ขอให้ผู้ปกครองติดต่อขอรับวัคซีน ซึ่งกระทรวงจัดเตรียมไว้อย่างเพียงพอ” นพ.สราวุฒิ กล่าว