"โอมิครอน" ใกล้ไทยมากขึ้น

"โอมิครอน" ใกล้ไทยมากขึ้น

ถึงแม้ว่าประเทศไทยยังไม่พบผู้ติดเชื้อโอมิครอน แต่ได้มีความตื่นตัวต่อสถานการณ์ในต่างประเทศค่อนข้างมาก เพราะถ้าเกิดการระบาดในประเทศไทยอีก จะส่งผลกระทบอย่างมากทั้งด้านสังคมและเศรษฐกิจ

การระบาดของโรคโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ “โอมิครอน” พบในหลายประเทศเพิ่มมากขึ้นในรอบ 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา และประเทศที่พบผู้ติดเชื้อสายพันธุ์ใหม่ดังกล่าวอยู่ใกล้ประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น จากเดิมที่พบการระบาดในทวีปแอฟริกาและยุโรปเป็นส่วนใหญ่ และเริ่มพบในเอเชีย เช่น ฮ่องกง ตามมาด้วย อินเดีย ซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งทำให้หลายประเทศยกระดับมาตรการควบคุมการระบาดเพิ่มมากขึ้น เพราะเป็นสายพันธุ์ที่ระบาดได้เร็วกว่าสายพันธุ์เดลตา

ล่าสุด มีการพบผู้ติดเชื้อในประเทศมาเลเซียที่เป็นประเทศเพื่อนบ้านของไทย ซึ่งผู้ติดเชื้อเป็นนักศึกษาต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศมาเลเซียจากแอฟริกา

โดยประเด็นที่น่ากังวลคือ ผู้พบเชื้อได้ผ่านการฉีดวัคซีนมาแล้ว 2 เข็ม และไม่แสดงอาการการติดเชื้อ และทำให้ประเทศมาเลเซียจะออกประกาศข้อจำกัดการเข้าประเทศเพิ่มเติมทันที เช่น มาตรการตรวจหาเชื้อเพิ่มเติมสำหรับผู้เดินทางเข้าประเทศ รวมถึงการห้ามผู้เดินทางจากประเทศแอฟริกาตอนใต้ 8 ประเทศ เข้ามาเลเซียชั่วคราว

ขณะที่กระทรวงสาธารณสุขสิงคโปร์ออกมา ยืนยันว่าพบผู้โดยสาร 2 คนที่เดินทางจากแอฟริกาใต้มาถึงประเทศสิงคโปร์เพื่อเปลี่ยนเครื่องบินไปประเทศออสเตรเลีย ได้พบข้อมูลการติดเชื้อโอมิครอน ซึ่งแม้จะยังไม่พบผู้ติดเชื้อสายพันธุ์ใหม่ในประเทศสิงคโปร์ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่ารายงานดังกล่าวได้สร้างความตื่นตระหนกให้กับชาวสิงคโปร์ไม่น้อย และนำมาสู่การประกาศมาตรการควบคุมโรคอย่างเข้มงวดทันในวันที่ 27 พ.ย. 2564 เพื่อป้องกันการระบาดในประเทศสิงคโปร์

ญี่ปุ่น เป็นอีกประเทศที่ออกมาตรการควบคุมโรคที่เข้มงวดในทันที โดยกระทรวงคมนาคมของประเทศญี่ปุ่นได้ประสานสายการบินเจแปน แอร์ไลน์ และสายการบินออล นิปปอน แอร์เวย์ ระงับการจองตั๋วโดยสารใหม่สำหรับเที่ยวบินระหว่างประเทศที่เข้าสู่ญี่ปุ่นจนถึงสิ้นเดือน ธ.ค.2564

ทางการญี่ปุ่นต้องการให้สายการบินของญี่ปุ่นและสายการบินต่างประเทศระงับการจองตั๋วโดยสารเที่ยวบินเข้าสู่ญี่ปุ่น ซึ่งมาตรการดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากพบผู้ติดเชื้อโอมิครอนรายที่ 2 เมื่อวันที่ 27 พ.ย.2564

ถึงแม้ว่า ประเทศไทย ยังไม่พบผู้ติดเชื้อโอมิครอน แต่ได้มีความตื่นตัวต่อสถานการณ์ในต่างประเทศค่อนข้างมาก เพราะถ้าเกิดการระบาดในประเทศไทยอีก จะส่งผลกระทบอย่างมากทั้งด้านสังคมและเศรษฐกิจ

โดยเฉพาะทรัพยากรที่จะใช้รับมือในการควบคุมโรค การเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการระบาดและการฟื้นฟูประเทศหลังจากนี้ ซึ่งมีความจำเป็นที่ทุกฝ่ายจะต้องป้องกันไม่ให้เกิดการระบาดมากที่สุด โดยเฉพาะไม่ให้เกิดจุดอ่อนเหมือนอดีต เช่น คลัสเตอร์สนามมวย คลัสเตอร์แรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย และคลัสเตอร์สถานบันเทิง