จากอดีตผู้ป่วยมะเร็ง สู่นักกีฬาลองบอร์ดดาวน์ฮิลล์ทีมชาติไทย

จากอดีตผู้ป่วยมะเร็ง  สู่นักกีฬาลองบอร์ดดาวน์ฮิลล์ทีมชาติไทย

ป้าเจี๊ยบ-นงลักษณ์ ชัยฤทธิไชย วัย 63 ปี อดีตผู้ป่วยมะเร็งเต้านม ซึ่งต่อสู้กับโรคมากกว่า 2 ปี หลังจากจบเคมีบำบัด ป้าเจี๊ยบได้มีโอกาสเล่นสเก็ตบอร์ดของลูกชาย และนั่นกลายเป็นจุดเริ่มต้นสู่การเป็นนักกีฬาลองบอร์ดดาวน์ฮิลล์ทีมชาติไทย

ในเดือนตุลาคมของทุกปี ทั่วโลกจะร่วมกันรณรงค์ต่อต้าน "มะเร็งเต้านม" ในปีนี้ทางสมาคมโรคเต้านมแห่งประเทศไทย เน้นให้ความสำคัญ เป็นสื่อกลางในการกระตุ้น ตระหนัก เตือนภัยถึงภัยร้ายของโรคมะเร็งเต้านม ในการแลกเปลี่ยนข้อมูล เพื่อเป็นการสร้างกำลังใจร่วมแบ่งปันซึ่งกันและกัน โดยจัดงาน“มะเร็งเต้านม รู้ไว หายทัน : Pink Alert - Check & Share Project 2020 ได้นำเรื่องราวของอดีตผู้ป่วยมะเร็งเต้านมเป็นเพื่อเป็นกำลังใจและแรงบันดาลใจให้กับผู้ป่วยที่จะลุกขึ้นสู้อีกครั้งนึง

 

โดยยก เรื่องจริง Pink Alert ของ ป้าเจี๊ยบ นงลักษณ์ ชัยฤทธิไชย อดีตผู้ป่วยมะเร็งเต้านม และนักกีฬาลองบอร์ดดาวน์ฮิลล์ทีมชาติไทย อายุ 63 ปี ที่ผ่านการต่อสู้กับโรคมะเร็งเต้านมมากว่า 2 ปี โดยเรื่องราวเริ่มต้นจากการที่มีอาการเจ็บจี๊ดๆ เพียงเล็กน้อยบริเวณหน้าอก และอาการก็เป็นๆ หายๆ ไม่ได้เป็นตลอดเวลา จึงปล่อยให้เวลาล่วงเลยมายาวนาน จนกระทั่งกระทั่ง 1 ปีผ่านไป ก้อนนั้นเริ่มใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนมาวันหนึ่งเริ่มมีแผล และเลือดออกเกิดขึ้น จึงรีบไปพบแพทย์ในวันรุ่งขึ้นทันที

 

วันที่ไปพบคุณหมอนั้น ปรากฏว่าคุณหมอตกใจเป็นอย่างมากว่า ทำไมถึงปล่อยให้ลุกลามขนาดนี้ได้ และคุณหมอได้ทำการหัตถการแผลดังกล่าวให้เรียบร้อย และวางแผนในการรักษาต่อไป แต่เราก็คิดว่าแล้วว่า ก้อนนี้ไม่น่าจะใช่เรื่องดี เลยตัดสินใจบอกกับคุณหมอเลยว่า ขอให้ทำการตัดเต้านมออกทันทีด้วยความรวดเร็ว แบบไม่มีลังเลเลย และในวันนั้นก็ได้ทำการผ่าตัดเต้านมออกในทันที จากนั้นคุณหมอก็ได้นำชิ้นเนื้อไปส่งตรวจ เพื่อดูว่าเป็นเนื้อร้ายหรือมะเร็งหรือไม่ ซึ่งได้ทำใจไว้ระดับนึงว่าก้อนเนื้อนั้น ไม่น่าจะใช้เรื่องดีๆ ที่เกิดขึ้นแน่นอน ถือได้ว่าเป็นการเตรียมตัว และเตรียมใจยอมรับกับสถานการณ์อย่างหนึ่งล่วงหน้าก็ว่าได้

160174474766

หลังจากผ่านไปประมาณ 1 สัปดาห์ ก็ไปฟังผล ผลก็เป็นอย่างที่คิดจริงๆ ต้องเตรียมตัวให้ยาเคมีบำบัด โดยด่วน!! ถามว่าตอนนั้นรู้สึกตกใจ หรือเสียใจมั้ย บอกตรงๆ เลยว่า “ไม่เลย” อาจเป็นเพราะเราได้มีเวลาเตรียมตัวเตรียมใจมาแล้วล่วงหน้าก็เป็นได้ เราเลยพร้อมที่จะเผชิญกับสิ่งที่มันจะเกิดขึ้น ถึงแม้คำว่าว่ามะเร็งส่วนใหญ่ จะเท่ากับคำว่า “ตาย” ก็ตาม แต่ป้าเจี๊ยบก็คิดเสมอว่า คนเราเกิดมายังไงก็ต้องตาย ไม่ตายด้วยป่วยตาย ซักวันยังไงก็ต้องตาย ไม่ทางใดก็ทางนึง ดังนั้น แค่ทำใจ เปิดใจยอมรับ และอยู่กับมันให้ได้ มันก็แค่โรคๆ นึงเท่านั้น เมื่อทำใจยอมรับ เราก็จะอยู่กับมันไปได้

 

พอเริ่มเข้าสู่กระบวนการรับยาเคมีบำบัดการใช้ชีวิตก็เริ่มจะต้องปรับเปลี่ยนไป จากเดิมที่ทำอะไรด้วยตัวเองได้หมด และเดิมเราเป็นคนทีพลังงานเยอะมากๆ ชอบทำกิจกรรมมากมาย ก็กลายเป็นต้องลดกิจกรรมต่างๆ ทั้งหมดลง ทำเฉพาะเท่าที่จำเป็น เพราะผลข้างเคียงจากยาเคมีบำบัด ทำให้เราไม่ค่อยมีแรง อยากจะนอนทั้งวัน แถมพ่วงด้วยอาการคลื่นไส้อาเจียนรุนแรง ทานอะไร ก็อาเจียนออกหมด แต่เราก็คิดแต่เพียงว่า ต้องกิน อาเจียนเท่าไหร่ ก็ต้องกินกลับไปเท่านั้น กินมากกินน้อยก็พยายามฝืนกิน เพื่อให้ร่างกายมีแรง เรียกได้ว่า กว่าจะผ่านเคมีบำบัดแต่ละครั้งได้นั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เรียกได้ว่าสะบักสะบอมกันเลย

 

เข้าสู่เข็มหลังๆ ก็เริ่มรู้สึกท้อแท้บ้าง เพราะร่างกายก็เริ่มล้า แถมเพื่อนร่วมโรคบางคนที่เคยเห็นหน้ากันก็เริ่มลาจากกันไป ก็เริ่มมีหวั่นใจบ้างอยู่เหมือนกัน เลยลองถามคุณหมอดู ว่าจะสามารถอยู่ได้อีกปี คุณหมอก็ตอบมาว่า “แบบคุณป้าเจี๊ยบเนี่ยสบายมาก อยู่ไปเถอะ อีก 2-3 ปียาวๆ ดังนั้น อยากทำอะไรก็รีบทำ อยากกินอะไรก็รีบกิน” พอฟังแล้วแบบจากที่ห่อเหี่ยว กลับกลายมาฮึกเหิมกันเลยทีเดียว เรียกได้ว่าเป็นกำลังใจแรก ที่ทำให้ชีวิตเปลี่ยน หลังจากวันนั้นก็เลยเริ่มคิดได้ว่า ทุกวันนี้อะไรที่มันทำแล้วคือความสุข ทำเลย เป็นคนที่ถ้ามีอะไร หรือคิดอะไรขึ้นมาแล้วจะทำเลย อย่ากลัว หรือรอจนไม่กล้าทำ เพราะเมื่อไหร่ที่เรากลัวจนไม่กล้าทำ โอกาสมันจะปิด แค่ยอมรับมันให้ได้ ไม่ว่ามันจะร้าย หรือดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องร้าย ถ้าเรายอมรับมันได้แล้วเราก็จะมีสติที่จะคิดหาวิธีแก้ไข และผ่านมันไปให้ได้

160174474779

หลังจากจบเคมีบำบัด และฉายแสง ก็เข้าสู่การฟื้นฟูร่างกาย คุณหมอก็ให้เราเริ่มออกกำลังกายเบาๆ ได้จึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นของป้าเจี๊ยบกับกีฬาสเก็ตบอร์ด มันเหมือนฟ้าลิขิตก็ว่าได้นะ เพราะมีอยู่วันนึง ก็ออกไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะกับลูกชาย โดยลูกก็ออกไปเล่นสเก็ตบอร์ด เราก็ไปเดินยืดเส้นยืดสายตามประสาวัยเกษียณ แต่ไม่รู้อะไรดลใจเหมือนกัน พอลูกวางสเก็ตบอร์ดปุ๊บ เราก็ลองหยิบมันมายืน แล้วก็ไถดู ลูกก็ห้ามว่าระวังล้มนะมันลื่น แต่ปรากฏว่าในครั้งแรกก็ไถ และสามารถยืนได้เลยเลย ก็เลยเริ่มรู้สึกติดใจขึ้นมา

วันที่ 2 ก็ไปลองอีกรอบ ก็ทำได้อีก คราวนี้เลยเริ่มที่จะอยากหัดจริงจังขึ้นมาทันทีเลย เพราะมีความรู้สึกว่า พอได้อยู่บนสเก็ตบอร์ด รู้สึกได้ถึงความอิสระ ความสนุก ความท้าทาย ความสุขหลายๆ อย่างที่บอกไม่ถูก ก็มีคนบอกเหมือนกันนะ ว่าทำไมไม่เป็นเล่นกีฬาที่เหมาะสมกับวัย แต่ใครเป็นคนกำหนดล่ะ ว่ากีฬาชนิดไหนเหมาะกับคนอายุเท่าไหร่ ดังนั้น เราเชื่อว่ากีฬาทุกชนิด ถ้าเรารัก และชื่นชอบในมันแล้ว ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ ก็สามารถฉีกทุกกฎเกณฑ์ และเล่นมันได้ภายใต้ความปลอดภัย

 

"เพราะคิดว่าทุกอย่างถ้ามันได้เริ่มทำแล้ว ไม่มีคำว่ายาก ไม่ว่าจะเป็นโรคมะเร็ง หรือว่าสเก็ตบอร์ดก็ตาม อย่างโรคมะเร็ง พอเป็นแล้วเราก็เดินหน้ารักษา ด้วยความที่เชื่อมั่นในคุณหมอ คุณหมอบอกให้ปฏิบัติตัวยังไงทำตามหมดเลย เพราะคิดอยู่อย่างเดียวว่าต้องไม่ตาย ต้องหาย เราวางเป้าหมายไว้ชัดเจนมากๆ ตั้งแต่แรกเริ่ม ไม่ว่าจะหนักหนาสาหัสแค่ไหน ก็จะต้องผ่านมันไปให้ได้ ทั้งผ่าตัด เคมีบำบัด ฉายแสง เพราะถ้าตัวเรายอมแพ้ตั้งแต่แรกเริ่ม ยอมยกธงตั้งแต่เริ่ม ก็คงไม่มี ป้าเจี๊ยบอย่างในทุกวันนี้ อย่างการเล่นสเก็ตบอร์ดก็เหมือนกัน ทุกวันนี้เราเล่นมันมาเกือบ 8 ปีแล้ว อยู่กับมันจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของกันและกันไปแล้ว จนกระทั่งได้มีโอกาสเป็น 1 ในนักกีฬาลองบอร์ดดาวน์ฮิลล์ทีมชาติไทยอีกด้วย" ป้าเจี๊ยบ กล่าวทิ้งท้าย