นพ.สมโภช นิปกานนท์ คิดใหม่พลิกตำราอายุเกินร้อย

นพ.สมโภช นิปกานนท์ คิดใหม่พลิกตำราอายุเกินร้อย

นพ.สมโภช นิปกานนท์ มั่นใจเกินร้อยในอายุขัยของตนว่าจะยืนยาวเกิน 100 แถมออกรอบตีกอล์ฟได้ชิลๆ หลังค้นพบความมหัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ของร่างกาย

“หมอเตรียมทำบัตรเชิญล่วงหน้า 50 ปี เชิญญาติสนิทมิตรสหายให้มาร่วมออกรอบกอล์ฟและกินเลี้ยงโต๊ะจีนฉลองอายุยืน 100 ปีอย่างสุขภาพดีที่ยังสามารถออกรอบตีกอล์ฟได้ ไม่ใช่เป็นคนแก่นอนป่วยติดเตียง” คำตอบจาก "นายแพทย์สมโภช นิปกานนท์" อายุรแพทย์ที่สนใจและศึกษาเพิ่มเติมเป็นพิเศษด้านเซลล์บำบัดและภูมิคุ้มกันบำบัด ทั้งยังค้นพบความลับที่นำไปสู่การมีอายุขัยยืนยาวอย่างมีสุขภาพดี

หากเปรียบร่างกายเป็นบ้าน สิ่งค้ำยันโครงสร้างให้มั่นคงแข็งแรงก็คือ เสาเอกหรือเสาหลัก เช่นเดียวกับสุขภาพก็ย่อมมีสิ่งค้ำยันเช่นกัน ซึ่งคุณหมอสมโภชอธิบายว่า เสาหลักสุขภาพมีอยู่ 4 เสาด้วยกันคือ การอักเสบของเนื้อเยื่อ, ฮอร์โมน, ภูมิต้านทานโรคหรือภูมิคุ้มกันโรค และความแข็งแรงของเซลล์ ทั้งสี่เสานี้ค้ำยันภาวะสุขภาพนี้ ถ้ามั่นคงแข็งแรง ต่อให้ตัวบ้านเป็นกระต๊อบก็รับมือภัยพิบัติต่างๆ ได้โดยไม่สะเทือน แถมยังพัฒนาต่อได้อีก

ต้นทางของทุกโรคที่เราไม่อยากเป็น ทั้งมะเร็ง เบาหวาน อัลไซเมอร์ พาร์กินสัน หัวใจ ล้วนมาจากการอักเสบของเนื้อเยื่อ ถ้าจัดการได้ดีเราก็จะไม่เป็นโรคเหล่านี้หรือเป็นแล้วจัดการต้นเหตุได้

เทคโนโลยีทุกวันนี้สแกนดูเสาหลักสุขภาพได้นานแล้ว แต่ไม่มีใครให้ความสนใจ ขณะที่การเจาะเลือดตรวจสุขภาพประจำปีก็คล้ายกับการตรวจดูสภาพภายนอกบ้านหรือดูแค่ว่าสีทาภายนอกบ้านหลุดลอกไหม ไม่ใช่การตรวจดูให้ลึกถึงโครงสร้างหลักภายใน

“องค์ความรู้และเทคโนโลยีการแพทย์ไปไกลมาก เปรียบได้กับยุค 5Gของโทรศัพท์มือถือ แต่สิ่งที่นำมาใช้ประโยชน์จริงๆ กับคนไข้กลับเป็นเพียงโทรศัพท์รุ่นกระติกโบราณ ส่วนเทคโนโลยีที่ทันสมัยก็ยังเป็นเนื้อหาในตำรา”

คุณหมอหยิบการอักเสบของเนื้อเยื่อมาอธิบายถึงความสำคัญว่า แบ่งเป็น 3 ระดับคือ ระดับตื้นที่เห็นหรือร่างกายรับรู้และฟ้องออกมาเป็นความเจ็บปวด เช่น มีดบาด รอยช้ำ ปวดข้อ ผดผื่น ไมเกรน กรดไหลย้อน ส่วนการอักเสบระดับกลางและลึกเป็นการอักเสบของเส้นเลือดใหญ่และเส้นเลือดฝอยตามลำดับ ไม่แสดงอาการใดๆ ทั้งสิ้นแต่รู้ได้จากผลเลือด การอักเสบของเส้นเลือดใหญ่จะนำไปสู่ความผิดปกติที่เกี่ยวกับหลอดเลือด เช่น โรคหัวใจ อัมพฤกษ์อัมพาต สิ่งสำคัญคือ การอักเสบระดับลึกถึงเส้นเลือดฝอย ถือเป็นปัจจัยหนึ่งที่นำไปสู่การกลายพันธุ์ของเซลล์และมะเร็ง

เมื่อายุมากขึ้นตัวผนังหลอดเลือดก็มีการอักเสบและเสื่อมสภาพ ส่วนเลือดที่วิ่งในเส้นเลือดไม่ใช่น้ำเปล่าแต่ประกอบด้วยเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว ไขมัน โปรตีน เชื้อโรค พอวิ่งไปเจอส่วนที่อักเสบหรือขรุขระก็เกิดการแตกตัวของเม็ดเลือด เปิดโอกาสให้แบคทีเรียเข้าไปเกาะ ไขมันไม่ดีก็วิ่งเข้าไปเกาะ ผนังเส้นเลือดเดิมก็ตีบลงเรื่อยๆ ถึงจังหวะหนึ่ง เลือดก็ไปเลี้ยงอวัยวะปลายทางไม่พอ จึงนำมาสู่โรคหัวใจขาดเลือดและสมองขาดเลือด ซึ่งก็เป็นปลายทางแล้ว แต่ในทางกลับกันหากเราตรวจรู้ตั้งแต่เนิ่นๆ แล้วลงมือดูแลรักษาหลอดเลือดไม่ให้มีการอักเสบก็จะไม่เกิดเรื่องใหญ่ปลายทาง หรือสรุปว่าถ้าไม่มีการอักเสบ ไขมันในเลือดที่เยอะแยะไปหมดก็จะไม่มีผลใดๆ ต่อเส้นเลือด

คุณหมออธิบายกลไกซ่อมแซมการอักเสบของหลอดเลือดว่า ตัวที่ไปซ่อมการอักเสบชั้นกลางและลึกคือ ไขมันในเลือดซึ่งรวมถึงไขมัน LDL ที่ว่ากันว่าเป็นไขมันตัวร้าย แต่แท้ที่จริงแล้วคือ ไขมันพระเอกที่เสียสละเพื่อร่างกาย คุณหมอเปรียบเทียบโดยสมมติครอบครัวหนึ่งฐานะยากจนมีลูก 2 คน คนโตรับหน้าที่ออกไปทำงานหาเลี้ยงครอบครัวและส่งน้องเรียน คนโตเปรียบเหมือนไขมันที่ถูกส่งไปซ่อมแซมผนังหลอดเลือดทั่วร่างกาย แต่เมื่อไปเจออนุมูลอิสระที่ร่างกายสร้างขึ้นอยู่แล้วก็ถูกทำให้กลายเป็นไขมันแอลดีแอล หรือพี่คนโตที่เสียสละไปทำงานนอกบ้านแล้วพบเจอกับสิ่งอันตรายล่อแหลมของโลกนอกบ้าน

ระบบการทำงานของร่างกายมีความมหัศจรรย์ ธรรมชาติออกแบบมาให้บางส่วนของร่างกายต้องผิดปกติเพื่อค้ำยันให้ส่วนใหญ่ปกติ บางเรื่องต้องมากแต่บางเรื่องต้องน้อย ฉะนั้น ถ้าจะรักษาก็ต้องดูทั้งระบบ ตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง ไม่ใช่แก้ไขทีละจุดๆ อย่างที่การแพทย์สมัยใหม่ทำกันอยู่ทุกวันนี้ ผลที่ตามมาคือ ยิ่งรักษายิ่งมีคนไข้เยอะขึ้นเรื่อยๆ ยกตัวอย่างไทรอยด์เป็นพิษ แพทย์ปัจจุบันให้กินน้ำแร่รังสีไอโอดีน หรือกินยาลดการทำงานไทรอยด์ ขณะที่ธรรมชาติของร่างกายไม่ได้ต้องการไทรอยด์ในระดับคงที่มาตรฐาน บางช่วงต้องการพลังงานมาก บางช่วงต้องการพลังงานน้อย แต่ยาออกฤทธิ์ควบคุมการทำงานของไทยรอยด์ให้คงที่ตลอดเวลา อีกทั้งอวัยวะหลักต่างๆ ก็ทำงานน้อยลงเพราะมียามาช่วย ซีอีโอดูผลงานโดยรวมแล้วประเมินว่าดี ทั้งๆ ที่ไม่ใช่ผลงานของร่างกายแต่ดีเพราะยา

วิธีที่ถูกต้องคือ เราต้องช่วยกระตุ้นให้ร่างกายกลับมาทำงานเอง ร่างกายเราไม่ได้ถูกสร้างมาให้ใช้ตัวช่วย ร่างกายเรามีวิวัฒนาการสูงสุดแล้ว ยกเว้นกรณีไตวายเรื้อรัง มะเร็ง อัมพฤตอัมพาต ก็ต้องมีตัวช่วยเพราะร่างกายช่วยตัวเองไม่ได้แล้ว บางช่วงใช้ตัวช่วยพอกลับไปที่สมดุลแล้วก็ให้ร่างกายดูแลตัวเอง เราแค่มอร์นิเตอร์ให้เห็นว่า ร่างกายเริ่มเพี้ยนก็เข้าไปช่วยเล็กน้อย กระบวนการที่ถูกต้องเป็นเช่นนั้น เช่นเดียวกับการรักษามะเร็งจึงควรโฟกัสเสาหลักด้านภูมิต้านทานซึ่งเป็นตัวจัดการกับมะเร็งกับเสาหลักด้านการอักเสบของเนื้อเยื่อซึ่งเป็นต้นเหตุ หลักการรักษาโดยกระตุ้นตัวเราเองให้ไปสู้กับมะเร็งโดยทำให้ 4 เสาหลักสุขภาพให้แข็งแรง โดยเฉพาะ 2 เสาหลักดังกล่าวจะต้องแข็งแรงมากๆ ไม่ใช่การกระตุ้นด้วยยาหรือสิ่งแปลกปลอมภายนอก

เสาหลักสุขภาพที่ 3 ว่าด้วยเรื่องภูมิต้านทานซึ่งมีหลายชนิด ทำหน้าที่สิ่งแปลกปลอมในร่างกาย ป้องกันเราจากเชื้อโรค ทั้งนี้ มะเร็งกับไวรัสมีพฤติกรรมคล้ายกัน เหตุที่เรายังไม่มียาฆ่าเชื้อไวรัสเพราะมันแปลงร่างอยู่เรื่อยๆ ยา/ระบบภูมิต้านทานจึงจำไม่ได้ จับไม่ได้ มะเร็งก็เช่นกันมีการสร้างเกราะปกป้องเซลล์แถมยังส่งน้ำย่อยบางตัวไปทำให้ภูมิต้านทานหลับ นอกจากนี้ยังมีปัจจัยภาพนอกที่ทำให้ภูมิต้านทานทำงานเพี้ยน เช่น วัคซีนซึ่งดักจับเชื้อโรคเฉพาะสายพันธุ์ที่โปรแกรมไว้ หากเป็นสายพันธุ์นอกเหนือจกานั้นก็จะไม่สนใจ เมื่อเทียบกับภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติของเรา อะไรที่เป็นเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมก็จะดักจับหมด

เสาหลักสุขภาพที่ 4 ว่าด้วยความแข็งแรงของเซลล์ จากการเจาะเลือดมาตรวจพบว่า 80% อายุเซลล์มากกว่าอายุจริง 5-10 ปี มีเพียง 10% ที่อายุเซลล์อ่อนกว่าอายุจริง ยกตัวอย่าง คนไข้อายุ 39 ปีแต่อายุเซลล์ 70 หมายความว่า อีก 30 ปีข้างหน้าจะเกิดปัญหาสุขภาพแน่นอนถ้าไม่เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการดูแลสุขภาพ

เสาหลักสุขภาพที่ 4 เสานี้สามารถมอนิเตอร์ได้จากการเจาะเลือดมาตรวจ แล้วปรับพฤติกรรมการกินการอยู่ให้ถูกต้องเหมาะสมเพื่อดึงให้กลับมาอยู่ในภาวะสมดุล สิ่งที่ตามมาคือ สุขภาพที่แข็งแรงอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะกระบวนการซ่อมในร่างกายดีที่สุดคือ ลดการอักเสบที่ต้นทาง อีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ “การคิดบวก” ซึ่งยืนยันได้ด้วยผลการศึกษาเจาะเลือดกลุ่มตัวอย่างที่หลากหลายไลฟ์สไตล์เพื่อดูการอักเสบของเนื้อเยื่อ พบว่า 85% มีการอักเสบชั้นใดชั้นหนึ่ง ส่วนที่เหลือ 15% ไม่พบการอักเสบใดๆ เราก็คาดหวังว่ากลุ่มนี้จะคลีนฟู้ดกู้ดเฮลท์เล่นโยคะ แต่ก็ไม่ใช่เลย ทุกคนมีพฤติกรรมเช่นเดียวกับคนส่วนใหญ่ ทั้งกินจังก์ฟู้ด นอนดึก ไม่ค่อยออกกำลังกาย แต่สิ่งหนึ่งที่คนกลุ่ม 15% มีเหมือนกันคือ คิดบวก มองโลกในแง่ดีและจิตใจดี สามารถควบคุมและจัดการอารมณ์ได้ ไม่สร้างความกดดันให้กับตัวเอง

อายุรแพทย์ท่านนี้เคยได้รับการแต่งตั้งเป็นกงสุลกิตติมศักดิ์ ราชอาณาจักรสวีเดน ประจำจังหวัดภูเก็ต เมื่อปี 2552 มีความสนใจเป็นพิเศษในเรื่องภูมิต้านทานและเซลล์ แรงบันดาลใจเกิดเมื่อ 20 ปีก่อนได้สัมผัสความทุกข์ของผู้ป่วยเอดส์ที่เข้าไม่ถึงยาต้านไวรัส ทำให้คิดว่า ร่ำเรียนมาเต็มที่จากเมืองนอกด้วย ความรู้เต็มไปหมด แต่ช่วยคนไข้ไม่ได้ โดย 80% ของคนไข้ในความดูแลเสียชีวิต เหลือ 20% ที่อยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้ด้วยความคิดบวก ป้องกันตัวเองไม่ให้รับเชื้อเพิ่มเและดูแลสุขภาพตัวเอง อยู่มาจนทันกินยาต้านไวรัสจาก อย. เดือนละพันกว่าบาทจากเมื่อ 20 ปีก่อนเดือนละ 2 หมื่นบาท

สิ่งที่ผู้ป่วยเอดส์ 20% กับสิ่งที่กลุ่มตัวอย่าง 15% มีเหมือนกันคือ คิดบวก มองโลกในแง่ดีและจิตใจดี สามารถควบคุมและจัดการอารมณ์ได้ ไม่สร้างความกดดันให้กับตัวเอง
เมื่อถามถึงเสาหลักสุขภาพของคุณหมอ ก็ได้คำตอบว่าการอักเสบของเนื้อเยื่อติดอยู่ในกลุ่ม 15% เช่นกัน ขณะที่อายุเซลล์อ่อนกว่าอายุตามบัตรประชาชน 10 ปี นั่นเพราะการนำความรู้จากตำรามาประยุกต์สู่การปฏิบัติภายใต้ไลเซ่นส์ใบประกอบโรคศิลปะ และการกำกับของแพทยสภา
“ผมทำทรีตเมนต์ตัวเองปีละ 2 รอบก็คล้ายกับการล้างไตแต่ใช้เทคนิคต่างกัน แล้วก็ให้ความสำคัญกับจิตใจที่ต้องคิดดีคิดบวก”

สรุปเคล็ดลับอายุยืน 100 ปีตามแนวทางของคุณหมอสมโภชคือ การตรวจดูเสาหลักสุขภาพว่าแข็งแรงไหม ใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมไม่มากไม่น้อยเพื่อปรับเสาหลักสุขภาพให้กลับมาที่สมดุล พอร่างกายสมดุลแล้วก็อย่าไปยุ่ง ควรปล่อยให้ร่างกายได้ทำงานไป เราถอยตัวออกมาเป็นผู้สนับสนุน ขณะเดียวกันเรื่องจิตใจกับการควบคุมอารมณ์สำคัญที่สุด และทำอะไรด้วยความกดดันหวังผลมักจะไม่ค่อยดี ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ให้มุ่งมั่นถึงผลความสำเร็จ ซึ่งเป็นเรื่องหนึ่งที่ต้องทำ นักเรียนก็ต้องตั้งใจเรียน นักกีฬาก็ต้องซ้อม เป็นสิ่งที่เราคาดหวัง

แนวทางการคิดบวกในแบบฉบับของ นพ.สมโภช มี 3 ข้อคือ 1. ต้องอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง ไม่ใช่เพ้อเจ้อหลอกตัวเอง 2. เวลางานกับเวลาพักผ่อนเป็นเวลาเดียวกัน การได้คุยกับคนไข้เป็นความสุขอย่างหนึ่ง ผมเห็นคนไข้ตั้งแต่ช่วงที่ป่วยมาก แต่วันนี้สามารถไปทัวร์ยุโรป ถือเป็นรางวัลทางจิตใจ 3. การเล่นกีฬาที่ชอบก็คือ กอล์ฟ ซึ่งเป็นกีฬาสุภาพบุรุษ สามารถเล่นคนเดียว ได้ทดสอบจิตใจ ความซื่อสัตย์และการเคารพตัวเอง ทั้งเป็นการฝึกตัวเองด้วยมีความสุขกับการทำงาน

“การเป็นแพทย์อาสาก็อีกช่องทางเติมเต็มพลังชีวิต เมื่อคราวน้ำท่วมที่ผ่านมาก็ไปช่วยเหลือผูู้ประสบภัยที่นครศรีธรรมราช ไปโดยไม่หวังผลใดๆ ผมยืนยันได้ว่า การปิดทองหลังพระ ส่งผลดีจริงๆ กับจิตใจ” นายแพทย์สมโภช แพทย์ผู้ก่อตั้งสถาบันทางการแพทย์ อีลิท ไลฟ์ เมดิคอล เซ็นเตอร์ (Elite Life Medical Center)