หนุน 'พรบ.โค้ดมิลค์' คุมโฆษณาอาหารเด็กถึงช่วงอายุ 3 ปี

"พญ.ศิริพร" ปธ.มูลนิธิศูนย์นมแม่ฯ หนุน "พรบ.โค้ดมิลค์" คุมโฆษณาอาหารเด็กถึงช่วงอายุ 3 ปี ย้ำกฎหมายไม่ห้ามขาย-ซื้อ-กิน
จากกรณีที่มีการเสนอพรบ.ควบคุมการส่งเสริมการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก พ.ศ. ...หรือพรบ.โค้ด มิลค์(Code milk) เพื่อบรรจุเข้าสู่วาระการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ซึ่งสาระสำคัญเกี่ยวข้องกับการควบคุมการส่งเสริมการตลาดของอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก โดยห้ามโฆษณาและห้ามส่งเสริมการตลาด ขณะที่สมาคมผู้ผลิตอาหารทารกและเด็กเล็ก ยื่นจดหมายขอให้สนช.ข้อเสนอเกี่ยวกับร่างพรบ.นี้ใน 3 ประเด็น ได้แก่ 1.ขอบเขตของร่างพรบ.นี้ควรจำกัดเฉพาะทารกแรกเกิด-12 เดือน แทนการกำหนดถึง 3 ปี 2.อาหารทางการแพทย์ไม่ควรถูกควบคุม และ 3.ระยะเวลาปรับตัวของผู้ผลิต ขอเปลี่ยนจาก 6 เดือน เป็น 1 ปีครึ่ง
พญ.ศิริพร กัญชนะ ประธานมูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย กล่าวว่า โดยหลักการเด็กทุกคนควรได้กินนมแม่อย่างเดียวตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 6 เดือน และกินนมแม่พร้อมอาหารตามวัยจนถึง 2 ปีหรือนานกว่านั้น ซึ่งช่วงเวลานี้เด็กจะค่อยๆปรับตัวไปสู่การกินอาหารหลัก 3 มื้อ และนมจะเปลี่ยนจากเป็นอาหารหลักไปเป็นเพียงอาหารเสริม ดังนั้น การที่ในร่างพรบ.มีการกำหนดขอบเขตการควบคุมการส่งเสริมการตลาดครอบคลุมอาหารสำหรับเด็กเล็กตั้งแต่แรกเกิดถึง 3 ปีนั้นมีความเหมาะสม หากจะลดการกำหนดอายุเด็กเหลือเพียง 1 ปี หรือต่ำกว่า 2 ปีจะเป็นช่วงอายุที่ไม่เหมาะสม เนื่องจากเด็กยังไม่เกิดการปรับตัวที่จะกินอาหารหลัก 3 มื้อแล้วเปลี่ยนนมเป็นเพียงแค่อาหารเสริม
พญ.ศิริพร กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีข้อเสนอไม่ให้รวมอาหารทางการแพทย์สำหรับทารกและเด็กเล็กเข้าไว้ในการควบคุมของพรบ.นี้ด้วยนั้น ในร่างพรบ.ไม่ได้กำหนดไว้อยู่แล้ว หากมีความจำเป็นตามการรักษาก็ไม่ได้อยู่ในขอบข่ายของกฎหมายนี้ ทั้งนี้ กฎหมายนี้ไม่ได้กำหนดว่าไม่ให้ขาย ไม่ให้ซื้อ หรือไม่ให้กินแต่อย่างใด จะมุ่งเน้นเรื่องของการควบคุมไม่ให้มีการโฆษณาที่เกินความเป็นจริง หรือส่งเสริมการขายลด แลก แจก แถมในผลิตภัณฑ์สำหรับทารกและเด็กเล็กเท่านั้น เนื่องจากที่ผ่านมา พบว่าผลิตเหล่านี้มีการโฆษณาที่เกินจริงอย่างมาก เช่น มีการโฆษณาว่านมผงหรือนมผสมยี่ห้อนี้แล้วสมองเด็กจะดี ซึ่งอาจทำให้คนเข้าใจผิดว่าให้เด็กกินนมยี่ห้อแล้วเด็กจะสมองดีโดยไม่ต้องทำอย่างอื่นแล้ว ถือเป็นการเข้าใจที่ผิดและจะส่งผลกระทบต่อเด็ก
“พรบ.ฉบับนี้เป็นสิ่งที่จำเป็นจะต้องเกิดขึ้น เพราะขณะนี้พบว่าการโฆษณาอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก อย่างนมผสมมีการโฆษณาที่เกินจริงไปอย่างมาก จะทำให้ประชาชนเข้าใจผิดและหลงเชื่อได้ ซึ่งจะส่งผลต่อการเลี้ยงดูบุตร จึงต้องออกมาช่วยกันดูในเรื่องนี้ ด้วยการเป็นตัวแทนเด็กที่ยังส่งเสียงบอกเองไม่ได้ว่าอยากกินนมแม่และอยากให้แม่อุ้มฉันอย่างน้อย 2 ปี ที่ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญหากเวลาผ่านแล้วจะผ่านเลยเรียกกลับมาไม่ได้”พญ.ศิริพรกล่าว
พญ.ศิริพร กล่าวด้วยว่า นมผสมสามารถทำให้เหมือนนมแม่ได้เพียง 20 % แต่กลับมีการโฆษณาในลักษณะที่สามารถนำมาใช้ทดแทนนมแม่ได้ หรือบางโฆษณาสร้างความเข้าใจประหนึ่งดีกว่านมแม่ได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผิด หากเด็กไม่ได้กินนมแม่จะทำให้เด็กขากโอกาสโดยเฉพาะการได้รับภูมิต้านทานที่มีอยู่ในนมแม่ที่จะเข้าไปในกระเพาะเด็กแล้วอุดช่องว่างระหว่างเซลล์ของเด็ก หรือฮอร์โมนต่างๆ ซึ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่นมผสมไม่สามารถที่จะทำให้เหมือนนมแม่ได้ อีกทั้ง มีงานวิจัยระบุชัดเจนว่าเด็กที่ได้กินนมแม่จะมีระดับสติปัญญามากกว่าเด็กที่ไม่ได้กิน รวมถึง ความรักความอบอุ่นความผูกพันที่เด็กจะได้สัมผัสจากแม่ระหว่างการให้นมด้วย







