สุขชิลๆ แบบ ‘คิ้วต่ำ’ บนโลกโซเชียลมีเดีย

สุขชิลๆ แบบ ‘คิ้วต่ำ’ บนโลกโซเชียลมีเดีย

ทำความรู้จัก อนุชิต คำน้อย เจ้าของเพจเฟซบุ๊ค คิ้วต่ำ ที่มียอดผู้ติดตามถึง 9 แสนกว่า ด้วยเสน่ห์ของการ์ตูนภาพประกอบและข้อความทั้งสุขและเศร้า

บนโลกโซเชียลมีเดีย ชื่อของ ‘คิ้วต่ำ’ คงเคยผ่านตาหลายคน บางคนอาจเคยกดไลค์กดแชร์ภาพการ์ตูนน่ารักปนกวนที่มักจะมาพร้อมกับข้อความสั้นๆ แต่กินใจ ด้วยความรู้สึก ‘อิน’ ไปกับสิ่งที่ปรากฏบนภาพ หลายคนคงคิดว่าต้นทางของ ‘รูปและเรื่อง’ ที่สร้างความสุขและรอยยิ้ม (บางทีก็มีน้ำตา) นั้นคงจะเป็นมนุษย์โลกสวยคนหนึ่งที่มีฝีมือวาดภาพและมีคลังคำในหัวจึงถ่ายทอดออกมาจนโด่งดัง เป็นอีกหนึ่งเซเลบในโลกออนไลน์
             ไม่ว่าความคิดนั้นจะถูกหรือผิด แต่ คิ้วต่ำ หรือ อนุชิต คำน้อย ยังมีอีกหลายแง่มุมให้ทั้งแฟนตัวยงและคนที่ยังงงๆ ว่าเขาคือใคร ได้ทำความรู้จักกัน...

ทำเพจนานหรือยัง?
             สามปีแล้วครับ ตอนนั้นเริ่มด้วยการเอางานลงเพจ เพราะตอนนั้นเพิ่งเรียนจบแล้วตอนนั้นแฟนเพจยังไม่ดัง หมายถึงว่าเราแค่เปิดแฟนเพจเพื่อทำเป็น Portfolio เฉยๆ เพราะทำงานประจำแล้วอยากได้เงินเพิ่มเฉยๆ ก็เลยเปิดเพจเพื่อจะส่งให้นิตยสาร อยากเขียนคอลัมน์ครับ ก็เลยทำเอางานลงแฟนเพจเพื่อส่งลิ้งค์ให้เขาอีกทีหนึ่ง
เรียนด้านไหนมา?
             เรียนสถาปัตยกรรม ลาดกระบัง ตอนแรกเราก็ทำงานกราฟิกเป็นงานประจำ ชอบทำพวกก็อปปี้ไรเตอร์ พวกงานแอด อะไรพวกนี้
วางคอนเซ็ปต์เพจอย่างนี้ตั้งแต่แรกเลย?
              ไม่ครับ ไม่ได้วางไว้ คือพอเปิดแฟนเพจขึ้นมามันต้องตั้ง cover มันต้องตั้งชื่อ cover เราก็เอาจากกระดาษที่มีอยู่เพราะไม่ได้ตั้งใจจะวาดขึ้นมาใหม่ ผมก็ใช้สมุดบันทึกที่เรามีอยู่เลยครับ อย่าง ‘คิ้วต่ำ’ นี่เรานั่งนึกชื่อว่าชื่ออะไรดี จะส่งนิตยสารเราก็ต้องนึกชื่อให้สะดุด ที่จริงมีสองชื่อครับคือ ‘เถิก’ กับ ‘คิ้วต่ำ’ ก็เพราะเราหน้าผากกว้างครับ (หัวเราะ) แล้วเรารู้สึกว่างานของเรามันมองอีกมุมหนึ่งก็เลยเอา ‘คิ้วต่ำ’ มาใช้ดีกว่า
ตอนเริ่มทำ เป็นอย่างไร?
                ตอนนั้นเราทำเหมือนสมุดบันทึกครับที่เราวาดรูปและเขียนคำเล่นๆ เหมือนเมื่อก่อนเวลาที่เราเรียนหนังสือแล้ววาดรูป “อาจารย์...หนูหิวข้าว” อะไรประมาณนี้ แล้วเราก็สแกนงานพวกนี้ที่อยู่ในสมุดบันทึกลงไปในแฟนเพจ มันก็เป็นเรื่องบ่นทั่วไป
บ่น ไม่ใช่ลึกซึ้ง?
                 ไม่ครับ บ่นให้กำลังใจตัวเอง “ต้องสู้นะ” หรืออะไรประมาณนี้ ก็เป็นสไตล์วาดรูปประกอบไปด้วย
มีจุดเปลี่ยนทำให้คนสนใจจนกระทั่งโด่งดัง?
                ตอนแรกผมเป็นคนไม่ค่อยมั่นใจงานวาดภาพหรืองานเขียนของตัวเองเลย มันเกิดจากเพื่อนมาเปิดดูสมุดบันทึกเล่น คือมันไม่ใช่ไดอารี่นะครับ มันเป็นสมุดจดงาน เพื่อนก็เปิดอ่านแล้วบอกว่า เฮ้ย การ์ตูนนี้ตลกว่ะ เราก็เลยเออๆ เพราะเพื่อหลายคนอ่านแล้วก็รู้สึกตลก เราก็เลยเริ่มรวบรวมไปลงแฟนเพจ จุดที่เริ่มดังจากแฟนเพจเป็นช่วงสามเดือนแรกที่เปิดแฟนเพจ ตอนนั้นได้ยอดไลค์เดือนละแสน เมื่อหลายปีที่แล้วยอดไลค์ขึ้นเดือนละแสนถือว่าเยอะมาก เพราะดาราก็ได้แค่ 7-8 หมื่นเอง ตอนนั้นก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมขึ้นมาเดือนละแสนเลย มันน่าจะเกิดจากตอนนั้นคนแชร์เยอะมาก คนนั้นก็แชร์ คนนี้ก็แชร์ ดาราก็แชร์ แต่เขาไม่รู้นะว่าคิ้วต่ำคืออะไร
ตัวละครในแฟนเพจคือตัวที่เราเคยวาดอยู่แล้ว?
                  ใช่ครับ มันอยู่ในสมุดบันทึกอยู่แล้ว แต่ถ้าไปดูคาแร็กเตอร์แรกๆ มันยังเป็นเส้นที่ดาร์กอยู่ เพราะมันอยู่ในสมุดบันทึกจริงๆ เราต้องไปถ่ายรูปไปสแกนจากสมุดบันทึกจริงๆ แต่ตอนนี้คาแร็กเตอร์มันก็ถูกพัฒนามาเรื่อยๆ จนกลายเป็นตัวที่เห็นปัจจุบัน สามปีนี้ถ้าใครได้ไปย้อนดูรูปจะเห็นว่าค่อยๆ พัฒนามาเรื่อยๆ
จนตอนนี้ถึงจุดที่เราพอใจแล้ว ที่จริงพอใจกับคาแร็กเตอร์พอใจกับลายเส้นมาสักพักหนึ่งแล้ว เรารู้สึกว่าช่งหลังเราวาดตัวนี้บ่อยแล้ว แสดงว่าเป็นลายเส้นที่เราชอบแล้ว
ตอนที่จู่ๆ ก็ดังขึ้นมา รู้สึกอย่างไร?
                        ตอนนั้นรู้สึกไม่เชื่อ เพราะเราตั้งใจแค่ 500 ไลค์ เพื่อส่งให้นิตยสาร เดี๋ยวพอถึง 500 ไลค์จะส่งให้นิตยสาร จะส่งลิ้งค์ไปให้เขาเพื่อขอเขียนคอลัมน์ แต่ตอนนั้นก็ส่งไปให้เพื่อนช่วยกดไลค์หน่อย แต่มันก็ไม่ถึงสักที แล้วพอถึงจุดที่มันขึ้นมาเป็นหลักหมื่นไลค์ ตอนแรกเราก็รู้สึกไม่เชื่อ มันจะมีคนแชร์งานเราจริงๆ เหรอ แต่ตอนนั้นก็ดีใจที่มันไม่ใช่แค่เพื่อนเรายอมรับ ตอนแรกเราไม่มั่นใจงานเราใช่ไหม แต่พอเพื่อนเรายอมรับและกลายเป็นคนวงกว้างยอมรับ เราก็เริ่มรู้สึกมั่นใจที่จะทำงานแบบนี้มากขึ้น
ตั้งใจทำสนุกๆ แต่จู่ๆ ก็กลายเป็นเซเลบ เกร็งไหม?
                    มีช่วงเกร็งเหมือนกัน เพราะมีช่วงที่เริ่มดัง เริ่มออกสื่อ เริ่มมีมาสัมภาษณ์ ก็จะมีคนมาจับจ้องงานเรามากขึ้น บางคนบอกโลกสวยหรือเปล่า ก็มีช่วงเกร็งครับ แต่เราจัดการให้มันพอดี คือเราอาจไม่ได้ดาร์ก 100 เปอร์เซ็นต์นชีวิตเรา แต่เราก็ไม่ได้อวยสังคมจนเกินไปด้วย ให้มันพอดีๆ
จุดที่พอดีๆ คืออะไร?
                  จะมีช่วงหนึ่งที่บางทีเราวาดรูปตามอารมณ์เราจริงๆ เลย คนก็จะด่า ในโลกโซเชียลทำดีหรือไม่ดีก็มีคนด่า หรือบางทีอวยสังคมมากไปคนก็หาว่าเราพยายามทำให้คนรู้สึกดีเกินไป บาลานซ์คือเวลาวาดขึ้นมาหนึ่งรูปหรือทำงานขึ้นมาหนึ่งงาน เราอ่านแล้วเราต้องรู้สึก และคนอื่นอ่านหรือแชร์ให้เพื่อนอ่านเขาต้องรู้สึก ไม่ใช่ว่าเรารู้สึกมากเกินไปหรือไม่รู้สึกเลย คือเราต้องเทสต์จากความรู้ของเราก่อน
  จากผลงานมีตัวตนที่ชัดเจนมากเรื่องมองโลกแง่บวก ตัวตนเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า?
                 ที่จริงตัวตนจริงๆ ก็เป็นคนธรรมดานะครับ ตลก เป็นคนสนุกสนานปกติ แต่คนส่วนมากจะเข้าใจว่าคิ้วต่ำต้องเป็นคนอายุสามสิบกว่า แก่ไปแล้ว แต่จริงๆ เราเป็นคนที่ในชีวิตก็เจอเรื่องร้ายๆ ปกติ แต่เวลานั่งคุยกับเพื่อนเราจะชอบเล่าเรื่องตลก ชอบเล่าเรื่องให้เพื่อนมีความสุข
นอกจากความสนุก ความสุข ยังมีความลุ่มลึกอยู่ในแต่ละประโยค ได้มาจากอะไร?
                  อย่างแรกคือเราเป็นเด็กบ้านนอกครับ เราอยู่กับคนแก่มาเยอะมาก เราอยู่กับพระอาจารย์ และชีวิตเราก็ผ่านเรื่องมาเยอะมาก ถ้าให้มานั่งเล่าเรื่องชีวิตจริงๆ ว่าโลกสวยไหม เราก็ดราม่ามาเยอะมาก เราก็เจอการสูญเสียเยอะมาก ชีวิตจริงค่อนข้างเจอเรื่องร้ายมาเยอะ มันก็เลยสอนให้เป็นคนที่เชื่อว่าถ้าเจอเรื่องร้ายแล้วเรามองร้ายมันจะแย่ลงกว่าเดิม แต่ถ้าเจอเรื่องร้ายแล้วมองดีมันจะเท่าตัวหรือดีขึ้น ก็เลยเป็นคนที่เลือกมองอะไรแบบนี้ เวลาเจอเรื่องอะไรก็จะเล่นตลกได้อยู่
แบบนี้ฝืนไหม?
                    ไม่ฝืนครับ เวลารู้สึกแย่เราก็ยอมรับนะว่ารู้สึกแย่ เหมือนมีคนถามว่าตอนนี้มีตังค์ไหม เราก็ยอมรับว่าเราจน ถามว่าทุกข์ไหมก็ทุกข์ แต่ถามว่าต้องฆ่าตัวตายไหมก็ไม่ เรามองด้วยเหตุผล ไม่รน มีสติ สติคือเข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น และเราจะอยู่กับมันอย่างไร และสุดท้ายมันจะผ่านไปได้แน่นอน
ที่คิดแบบนี้ได้เพราะอยู่ใกล้พระ ใกล้ศาสนา?
                     เกี่ยวนะครับ อาจเป็นเพราะพระ ศาสนา คนแก่ อย่างเรื่องครอบครัวนี่ อย่างผมเมียเสียชีวิต ยายเสียชีวิต เราก็จะเห็นความสำคัญของครอบครัว ในเพจก็จะมีเรื่องครอบครัวเยอะ มีเรื่องความคิดถึง เรื่องพ่อแม่ ก็เกิดจากประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมา อย่างเรื่องคนแก่เราอยู่กับคนแก่มาเยอะ เราแปลกอย่างหนึ่งคือชอบเอาตัวเองไปเป็นคนแก่ เราชอบคิดว่าถ้าวันหนึ่งเราปวดหลังเราจะเป็นอย่างไร ก็น่าจะเป็นผลจากสิ่งแวดล้อมที่เราเจอมา
                    เราอยู่บ้านนอกที่สองสามทุ่มไม่มีไฟเลย กับมาเจอกรุงเทพฯที่เป็นแสงสี เราเจอทุกอย่างมาหมดแล้วก็เลยมีประสบการณ์ที่จะเล่า
เป็นเสมือนคนมอบความสุขแบบนี้ น่าจะดึงดูดคนให้เข้าหา เคยมีความรู้สึกว่าเกินขอบเขตบ้างไหม?
                 เราจะวางพื้นที่ของเราไว้ เมื่อก่อนเราไม่คิดว่าคนจะตามเราเยอะขนาดนี้ เราคิดว่าเขาคงจะตามงาน คงไม่ได้ตามที่ตัวเรา ก็มีจุดที่คนเข้ามาหาตัวเราเหมือนกัน แต่ว่าเราก็ไม่ได้รับทุกคนเหมือนกัน เพราะเราก็บอกว่าแฟนเพจกับชีวิตจริงไม่เหมือนกันนะ ชีวิตจริงเราเป็นคนหนึ่งที่มีรัก โลภ โกรธ หลง ต้องมีช่วงนอยด์ ช่วงโมโห ช่วงไม่สบายใจ ถ้าคุณคาดหวังแล้วรับได้ว่าชีวิตจริงเป็นอย่างไรก็เข้ามาได้ แต่ปกติเราก็ไม่รับคนสุ่มสี่สุ่มห้าเข้ามา เราจะมีเส้นแบ่งระหว่างงานกับชีวิตส่วนตัว ถ้าคนอยากเสพงานก็เสพงานต่อไป ในงานของเราก็มีเรื่องของเราอยู่แหละ แต่มันถูกคัดกรองแล้ว
คัดเฉพาะมุมดีๆ มาทำผลงาน ยากไหม?
                      ก็ไม่ยากขนาดนั้น เพราะในแฟนเพจก็ไม่ได้โลกสวยจ๋า บางทีก็มีมุมมองดาร์กเหมือนกัน อย่างง่ายๆ เลยถ้าตัวเองเขียนแล้วรู้สึกดีก็คือจบ ไม่รู้ว่าถูกคัดกรองเอยะแค่ไหน แต่เรารู้สึกว่าดีแล้ว
ภาษาสวยๆ แสดงว่าเป็นนักอ่าน?
                     ชอบอ่านหนังสือมาตั้งแต่เด็กๆ ที่จริงพ่อแม่เป็นชาวนานะ แต่เขาชอบอ่านหนังสือพวกต่วยตูน คู่สร้างคู่สม เขาไม่ได้บังคับให้เราอ่านแต่เขาอ่านแล้วทิ้งไว้ เราก็เลยติดอ่านไปด้วย ภาษาก็เลยได้มาจากพวกนั้นหมดเลย จะมีคำในหัวเยอะมาก บางทีก็เป็นคำที่แก่ เชย แต่ทุกวันนี้ก็เลือกอ่านมากขึ้น อ่านที่เราอยากอ่าน ไม่ใช่เขียนอย่างเดียว ก็ต้องเป็นแก้วที่น้ำพร่องตลอดเวลา คอยเติมตลอด
ชีวิตวัยเด็กเป็นอย่างไร?
                      เป็นเด็กบ้านนอกเลยครับ หมู่บ้านติดภูเขา เป็นต่างจังหวัด ต่างอำเภอ และต่างหมู่บ้าน เป็นหมู่บ้านที่อยู่ลึกที่สุดของอำเภอ ก็โตมากับชีวิตวัยเด็กแบบนั้นเลยครับ โรงเรียนก็อยู่บนภูเขา ช่วงพักกลางวันก็ปีนเขาไปดูวิว หรือไม่ก็เล่นเถาวัลย์ ทุกอย่างเป็นชนบทจ๋าเลย เล่นน้ำคลอง จับปลาไปทำกับข้าวกิน
                     และมีเรื่องที่คนไม่ค่อยรู้คือพ่อกับแม่ชอบกันแต่สองบ้านไม่ถูกกัน เขาเลยพากันหนี เป็นสเต็ปนั้นเลยครับ พอมีเราเขาก็เลยเรียกกลับมาแต่งงานอยู่บ้าน พอแต่งงานกันกลายเป็นว่าพ่อกับแม่ไม่มีเงินเพราะแต่งกันแบบฉุกละหุก ก็เลยต้องไปทำงาน เลยทิ้งเราไว้กับคนแก่ที่บ้าน เราก็เลยต้องอยู่กับคนแก่ อยู่กับปู่ย่าตายาย จนถึงมัธยมเราก็ยังอยู่หมู่บ้านเดิมแต่นั่งรถไปเรียนนอำเภอ
                 พอเป็นวัยรุ่นก็อย่างว่าครับ เริ่มเสพสื่อเยอะขึ้น ได้ดูทีวี ได้เห็นกรุงเทพฯเป็นไง เดินสยามครั้งแรกตอนปีหนึ่ง อะไรประมาณนี้
จากเด็กบ้านนอกมาอยู่ในเมืองหลวง เป็นอย่างไรบ้าง?
                   ตื่นเต้นกับทุกอย่างเลย ไม่เคยเห็น ไม่เคยดูหนัง ดูหนังเรื่องแรกตอนม.3 แล้วต้องไปดูต่างจังหวัด ไม่เคยมีโรงหนังใกล้ที่พักเลย มันก็ปรับตัวเยอะเหมือนกัน แต่สิ่งที่เรากลัวที่สุดคือความน่ารักของเราจะหายไป เรารู้สึกว่าเด็กบ้านนอกจะมีความน่ารักอยู่ เราขึ้นรถเมล์เราเกรงใจลุกห้คนอื่นนั่ง แต่เราต้องยอมรับว่าเมื่อเวลาผ่านไปสิ่งเหล่านี้มันจะแห้ง มันยังมีอยู่นะแต่มันจะเริ่มแห้งไปเหมือนกัน พอสังคมที่วุ่นวาย แก่งแย่งกัน มันสอนให้เราคิดว่าทำไมเราต้องยอมล่ะ ทำไมเราต้องให้ล่ะ เราก็เลยพยายามเมื่อเกิดความคิดแบบนี้เราต้องจัดการมันให้ได้ ให้นึกถึงเวลาที่ตัวเองเข้ากรุงเทพฯมาใหม่ๆ ตอนที่เราเป็นเด็กบ้านนอกคนหนึ่ง
ตอนนี้เป็นคนดัง ควาามคิดเปลี่ยนไปเยอะไหม?
                   เปลี่ยนเยอะครับ เมื่อก่อนตอนเป็นเด็กเราดูทีวี แล้วตอนนี้เรามาอยู่ในทีวี มันก็เปลี่ยนไปเยอะเหมือนกัน แต่ทำให้เราคิดถึงที่เราจากบ้านมายิ่งขึ้น เพราะทุกวันนี้ได้ออกทีวีก็จะโทรไปบอกที่บ้านแล้วว่าออกทีวีนะ ชีวิตเราเปลี่ยนไปนะเพราะ หนึ่ง มีคนยอมรับมากขึ้น ยอมรับจากคนอื่นมากขึ้น
ตอนที่คนอื่นทุกข์ คิ้วต่ำอาจเป็นที่พึ่ง แต่พอคิ้วต่ำทุกข์ อะไรคือที่พึ่ง?
                    อย่าเรียกว่าที่พึ่งเลยครับ เรียกว่าเป็นวิธีทำห้สบายใจดีกว่า ผมจะโทรคุยกับที่บ้าน หรือไม่ก็กลับบ้านนอก แต่ไม่ได้ไปนั่งเล่าเรื่องความทุกข์ให้ใครฟังนะครับ หรืออ่านหนังสือ เราห้กำลังใจ เขียนคำคมให้คนอื่นอ่านเยอะๆ เราก็จะไปนั่งอ่านจากคนอื่นบ้าง บางทีก็ไปนั่งฟังคนอื่น เราไม่อยากไปนั่งเล่าเรื่องครับ พอไปนั่งฟังคนอื่นเล่าเรื่องแล้วจะรู้สึกว่าความทุกข์ที่เราเจออยู่ไม่ได้หนักเลย ก็พยายามไปเจอคนใหม่ๆ เยอะขึ้น ตัดคำว่าคิ้วต่ำออกเลยนะ เราเป็นแค่คนธรรมดาที่มานั่งฟังก็พอ
หนังสือเล่มล่าสุด?
                       ชื่อว่า ‘สุขชนบท’ ครับ ธีมเกี่ยวกับเรื่องชนบทเลย ตอนแรกเราก็คิดว่าจะตั้งแนวคิดจากชนบท แรงบันดาลใจจากชนบท แต่ไม่ใช่ ทั้งเล่มคือความสุข ง่ายๆ เลย มันเป็นทั้งกำลังใจ แรงบันดาลใจ แต่ทุกอย่างมันคือความสุขที่เกิดขึ้นในชนบท
ถ้าคนเมืองอ่าน?
                         อ่านได้แน่นอนครับ อย่างรูปที่ลงแฟนเพจ แฟนเพจเราก็ไม่ใช่คนต่างจังหวัดทั้งหมดครับ และทุกวันนี้มีกระแสสโลว์ไลฟ์ ทุกคนต้องการความช้า เราเจอความช้ามาทั้งชีวิตแล้วตอนอยู่บ้านนอก ก็เลยอยากเล่าว่าจริงๆ แล้วสโลว์ไลฟ์มันเป็นอย่างไร ความสุขจากชีวิตช้าๆ มันเป็นแบบไหน คนเมืองเข้าใจแน่นอน เพราะมันเป็นเรื่องความสุข ความสุขใครก็สัมผัสได้
ความสุขคืออะไร?
                          ความสุขคือความธรรมดาคือ ความธรรมดามันน่าอิจฉาที่สุดแล้ว เวลาดูเฟซบุ๊คเราไม่เคยอิจฉาคนที่ดังหรือมีของแพงๆ ใช้ แต่เวลาใครอัพรูปธรรมดาอย่างกินข้าวกับครอบครัว แล้วเราสัมผัสได้ว่ามันคือความสุข
...เมื่อไรก็ตามที่เราใช้ชีวิตธรรมดาได้และมีความสุข นั่นวิเศษที่สุดแล้ว