ของขวัญไฮเทค ถูกใจผู้รับ (จริงหรือ?)

ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กที่มีความบกพร่องทางกระบวนการคิด ให้ข้อคิดผู้ปกครอง ก่อนตัดสินใจเลือกของเล่นไฮเทคให้กับบุตรหลาน
นักวิจัยเคยตั้งคำถามว่า “ของเล่นอัจฉริยะทำให้คนเล่นโง่ได้จริงหรือไม่?” ถ้าลองหันไปมองรอบตัว ไม่ว่าจะเป็น ตุ๊กตาสุนัขเห่าได้ ตุ๊กตาที่เต้นรำได้ หรือแม้แต่ตุ๊กตาที่กดแล้วสามารถพูดโต้ตอบ ของเล่นไฮเทคเหล่านี้มีตลาดที่กว้างใหญ่และทำเงินได้ดีมากจริงๆ ค่ะ
แม้ว่าเราจะพบงานวิจัยจำนวนมากเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ ทั้งที่ได้รับเงินสนับสนุนจากบริษัทผลิตของเล่น หรือแม้แต่ทำงานวิจัยด้วยเพราะความสนใจใคร่รู้จริงๆ แล้วก็ตาม งานวิจัยกลับพบว่า เด็กมีแนวโน้มจะยึดติดกับสิ่งของมากกว่าคนจริงๆ เคยสังเกตไหมคะว่า ของเล่นประเภทมีแสงไฟวิบวับหรือว่ามีเสียงดังปิ๊ปๆ มักจะทำให้เด็กสนใจมากเป็นพิเศษ เพราะตุ๊กตานั้นเราจะจับมันทำอะไรก็ได้ เมื่อไหร่ก็ได้ อย่างไรก็ได้ โดยที่มันไม่มีปากเสียงโต้ตอบ
แต่สำหรับเพื่อนหรือแม้แต่คนด้วยกันแล้ว ยิ่งถ้าให้เปรียบเทียบระหว่างการเล่นของเล่นกับการเล่นกับคนจริงๆแล้วล่ะก็ เทียบกันไม่ติด ซึ่งดูเหมือนจะเป็นข้อดี แต่จริงๆ แล้วเป็นข้อเสียอย่างร้ายแรง การเรียนรู้ผ่านการเล่นเป็นสิ่งที่จำเป็นมากในการสอนให้เด็กรู้จักการให้ การรับ ความร่วมมือ หรือแม้แต่การเรียนรู้เรื่องอารมณ์สงสารหรือเห็นใจ ซึ่งสำหรับตุ๊กตาแล้ว ไม่ว่าจะไฮเทคสักแค่ไหนก็ไม่สามารถให้สิ่งเหล่านี้ได้เลยค่ะ
เด็กขาดความคิดสร้างสรรค์ ในขณะที่สื่อจำพวกหนังสือจะช่วยสร้างเสริมจินตนาการให้กับเด็ก แต่ของเล่นไฮเทคส่วนใหญ่จะทำให้เด็กนั่งแล้วมองจ้องมันแทนที่จะมีการสื่อสารหรือเพิ่มความคิดสร้างสรรค์ น่าแปลกที่ของเล่นเหล่านี้เริ่มรุกการตลาดไปยังกลุ่มเด็กเล็กและเริ่มเล็กลงไปเรื่อยๆ ยิ่งเด็กวัยเตาะแตะใช้เวลากับการดูหรือกดปุ่มมากเท่าไหร่ ก็จะเสียเวลาในการอ่านหนังสือ วิ่งไล่จับ ใช้ชีวิตแบบที่เด็กๆ เป็นน้อยลงเท่านั้น
ถ้านั่นไม่ได้ทำให้ผู้อ่านคิดออกว่ามันต่างกันอย่างไรแล้วล่ะก็ ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยนิวยอร์กได้กล่าวไว้ว่า เด็กที่ไม่ได้รับการพัฒนาทักษะหรือใช้ชีวิตจากการเล่นมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งขาดโอกาสที่จะพัฒนากล้ามเนื้อมัดใหญ่รวมถึงทักษะความสัมพันธ์ระหว่างมือกับตามากขึ้นเท่านั้น นอกจากนั้นยังจะส่งผลเรื่องการเรียนในระยะยาวอีกด้วยค่ะ
เด็กมีสมาธิสั้นลง จากสถิติของสถาบันสุขภาพแห่งชาติของสหรัฐพบว่า เด็กอายุ 4-17 ปีได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นเด็กสมาธิสั้นถึง 11% นั่นหมายถึงเกือบ 7 ล้านคน และเมื่อมองภาพรวมทั่วโลกแล้ว เด็กมีแนวโน้มจะมีภาวะสมาธิสั้นมากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะเดียวกันการเติบโตของตลาดของเล่นไฮเทคก็เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด
เมื่อเร็วๆ นี้เราได้ยินข่าวว่า เด็กอายุ 6 เดือนสามารถสไลด์เปิดโทรศัพท์สมาร์ทโฟนก่อนที่จะเดินหรือแม้แต่พูดคำแรกได้เสียด้วยซ้ำ ในสมัยก่อนการใช้ตัวต่อเป็นรูปต่างๆ อาจใช้เวลาถึง 30 นาทีเป็นอย่างน้อย หรือแม้กระทั่งการที่จะได้ภาพสักภาพต้องใช้เวลาค่อยๆ ผสมสี ค่อยๆ ระบาย นั่นแสดงให้เห็นถึงความอดทน การรอคอย ความตั้งใจและมุ่งมั่น ไม่ใช่เสร็จภายในพริบตาเดียว
แต่เมื่อเกมเหล่านี้อยู่บนมือถือ เด็กใช้เวลาไม่กี่นานก็เล่นจบ หรือเราก็ยังจะพบได้บ่อยๆ ว่า บางครั้งเพื่อให้ได้คำตอบ เด็กจะกดมือถือไปเรื่อยๆ โดยไม่ได้คิดอย่างรอบคอบจริงจัง ทำให้ท้ายที่สุดเด็กเหล่านี้กลายเป็นเด็กที่ไม่ชอบการรอคอย เอาแต่ใจและก้าวร้าวมากขึ้น
และเพราะเชื่อผิดๆ ว่า สิ่งที่เด็กเล็กต้องการคือ การสร้างสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยของเล่นไฮเทคชนิดต่างๆ ซึ่งนอกจากจะเสียเงินมากกว่าปกติแล้ว ยังเป็นการลดทอนพัฒนาการด้านความคิดที่ควรจะงอกงามในตัวเด็กๆ ให้หายไปด้วยค่ะ
คำถามคือ แล้วคุณพ่อคุณแม่ควรทำอย่างไร คำตอบคือต้องสร้างสมดุล เริ่มจากให้เด็กเล็กได้เล่นตัวต่อ ลูกบอล วาดภาพระบายสี เพื่อเป็นการเสริมสร้างจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ ลองคิดย้อนกลับไปเมื่อสมัยเราเป็นเด็กดูสิคะ สมัยนั้น โทรทัศน์ก็หายากเต็มทน เราได้ใกล้ชิดธรรมชาติและธรรมชาติก็สอนอะไรเรามากมาย แต่ในเด็กรุ่นใหม่สิ่งเหล่านี้กลับขาดแคลน
สุดท้ายขอฝากไว้ว่า ก่อนที่จะเลือกซื้อของเล่นไฮเทคทั้งหลาย คุณพ่อคุณแม่ควรจะถามตัวเองก่อนว่า “ของเล่นนั้นสามารถเปิดโอกาสให้ลูกคิดและสร้างจินตนาการโดยไร้ขอบเขตได้หรือไม่?” เพราะของเล่นไฮเทคส่วนใหญ่แล้วมักจะถูกป้อนข้อมูลไว้ล่วงหน้าเพื่อที่จะให้ได้คำตอบเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
เหนือสิ่งอื่นใดไม่ว่าของเล่นคืออะไร จงจำไว้ว่า เพื่อนที่จะเล่นด้วยกันที่ดีที่สุดคือคุณพ่อคุณแม่ และเมื่อไหร่ที่รู้สึกว่าลูกโน้มเอียงให้เวลากับของเล่นไฮเทคแล้ว ก็จงเริ่มที่จะจำกัดชั่วโมงในการเล่นโดยทันที
* หมายเหตุบทความโดย ดร.ปรียาสิริ มานะสันต์ อาจารย์ประจำภาควิชาวิทยาศาสตร์สื่อความหมายและความผิดปกติของการสื่อความหมาย คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล เผยแพร่ใน กรุงเทพธุรกิจกายใจ







