แนวโน้มและความเสี่ยงเศรษฐกิจโลกในปี 2026 (1)

แนวโน้มและความเสี่ยงเศรษฐกิจโลกในปี 2026 (1)

โลกเรามีประมาณ 190 ประเทศ ดังนั้น การประเมินเศรษฐกิจโลก จึงไม่ใช่เรื่องง่าย แต่แนวทางที่ผมใช้คือการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจของประเทศขนาดใหญ่ที่สุดของโลก 7 ประเทศ

และการประเมินว่า ประเทศดังกล่าวมีจุดเปราะบางหรือ จุดแข็งอะไรบ้าง

จะเห็นได้ว่า จีดีพีของ 7 ประเทศ ดังกล่าว ได้แก่ สหรัฐอเมริกา จีน เยอรมนี ญี่ปุ่น อินเดีย อังกฤษและฝรั่งเศส รวมกันมีมูลค่าเท่ากับ 70.6 ล้านล้านดอลลาร์ คิดเป็นสัดส่วนเท่ากับ 61.4% ของจีดีพีของโลก (ซึ่งเท่ากับ 115 ล้านล้านดอลลาร์) ในปี 2025 ถือว่ามีสัดส่วนใหญ่พอสมควรที่จะใช้ในการประเมินแนวโน้มและความเสี่ยงของเศรษฐกิจโลกได้โดยรวม

โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีจีดีพีคิดเป็นสัดส่วน 26.5% ของโลก และยังมีความสำคัญในอีกมิติหนึ่ง คือ เงินดอลลาร์ ถูกนำไปใช้เป็นเงินสกุลหลักของโลก ดังนั้น หากสหรัฐมีปัญหาเงินฝืด โลกก็เสี่ยงที่จะมีปัญหาเงินฝืด และหากสหรัฐมีปัญหาเงินเฟ้อโลกเสี่ยงที่จะมีปัญหาเงินเฟ้อ

เยอรมนีกับฝรั่งเศสนั้น เป็น 2 เศรษฐกิจหลักของกลุ่มประเทศที่ใช้เงินยูโร (ร่วมกับอีก 18 ประเทศ) ซึ่งกลุ่มประเทศที่ใช้เงินยูโรทั้งหมด 20 ประเทศ มีมูลค่าจีดีพีเท่ากับ 16.7 ล้านล้านดอลลาร์ โดยหากรวมส่วนนี้เข้ามาก็จะมีจีดีพีรวมทั้งสิ้น 75.4 ล้านล้านดอลลาร์หรือ 65.6% ของจีดีพีโลก นอกจากนั้น เราก็ทราบดีว่าเงินสกุลหลักที่สำคัญของโลกอีก 3 สกุล คือ เงินปอนด์ของอังกฤษ เงินเยนของญี่ปุ่น และเงินหยวนของจีน

การขยายตัวทางเศรษฐกิจของโลก และ 7 ประเทศดังกล่าวข้างต้นนั้น ผมได้อาศัยการประเมินล่าสุดของไอเอ็มเอฟในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งปรากฏในตาราง ทั้งนี้ผมได้รวมการประเมินการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศพัฒนาแล้ว และประเทศกำลังพัฒนาให้เป็นข้อมูลเพิ่มเติมอีกด้วย

แนวโน้มและความเสี่ยงเศรษฐกิจโลกในปี 2026 (1)

จะเห็นได้ว่า โดยรวมแล้ว การขยายตัวของเศรษฐกิจของประเทศพัฒนาแล้ว จะขยายตัวในระดับต่ำในปี 2026 ที่ 1.6% บางประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกาและอังกฤษ เศรษฐกิจจะขยายตัวไม่แตกต่างจากปีก่อนหน้า บางประเทศจะดีขึ้น เช่น เยอรมนี แต่บางประเทศเศรษฐกิจ ขยายตัวลดลง เช่น ญี่ปุ่น ตรงนี้หมายความว่านโยบายการเงินการคลังของประเทศขนาดใหญ่ของโลกจะแตกต่างกันไป และอาจจะส่งผลในเชิงที่จะย้อนแย้งกันก็เป็นได้

สำหรับประเทศกำลังพัฒนานั้นจะขยายตัวได้ประมาณ 4% โดยรวมในปี 2026 ลดลงเล็กน้อยจาก 4.2% ในปี 2025 โดยที่ประเทศกำลังพัฒนาหลักคือ จีนและอินเดีย จะยังขยายตัวสูงนำหน้าประเทศอื่นๆ ในปี 2026 แต่ลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญจากปี 2025 อย่างไรก็ดี การขยายตัวดังกล่าวของประเทศจีน ซึ่งพึ่งพาการส่งออกเป็นแรงขับเคลื่อนหลัก ก็แปลว่าจะไม่ได้เป็นแรงขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจของประเทศอื่นๆ ขยายตัวสูงตามไปด้วย

คำถามที่สำคัญกว่า คือ การคาดการณ์การขยายตัวดังกล่าวข้างต้น สำหรับปี 2026 นั้น คาดการณ์แบบมองโลกในแง่ดี หรือมองแบบระมัดระวัง คำตอบคือ เป็นการมองโลกในแง่ดี เพราะในปี 2025 ปรากฏว่านโยบายปรับขึ้นภาษีศุลกากรของสหรัฐ นั้น ได้ส่งผลกระทบในเชิงลบน้อยกว่าที่คาดการณ์เอาไว้อย่างมากในปี 2025 

เพราะประเทศคู่ค้าส่วนใหญ่ไม่ได้ตอบโต้การที่สหรัฐปรับเพิ่มภาษีศุลกากรสินค้านำเข้าจาก 2% ไปเฉลี่ยที่ 19% แต่ได้มีการเจรจาหาข้อตกลงกับสหรัฐ และประเทศที่ไม่ใช่สหรัฐก็ได้พยายามส่งเสริมการค้าระหว่างกัน มีการปรับโครงสร้างการค้าระหว่างกันอย่างค่อนข้างรวดเร็วและมีประสิทธิผล

ในกรณีของจีนนั้น เมื่อสหรัฐปรับเพิ่มภาษีศุลกากรสินค้านำเข้าจากจีนกว่า 100% จีนก็สามารถเพิ่มการส่งออกไปยังตลาดอาเซียนและประเทศอื่นๆ เพื่อทดแทนการสูญเสียตลาดสหรัฐไปได้อย่างทันควัน

นอกจากนั้นอำนาจต่อรองที่จีนแสดงให้เห็นในการผูกขาดแร่หายาก ทำให้เชื่อว่า สหรัฐคงจะไม่ได้กล้าเสี่ยงที่จะทำสงครามการค้าในปี 2026 ตรงกันข้าม ประธานาธิบดีทรัมป์รับคำเชิญของฝ่ายจีนให้ไปเยือนกรุงปักกิ่งในไตรมาสแรกของปี 2026 ซึ่งมีการคาดการณ์กันอย่างแพร่หลายว่า 2 ประเทศมหาอำนาจน่าจะหาจุดร่วมระหว่างกันเพื่อลดความตึงเครียดทางการค้าได้ในปี 2026

ในขณะเดียวกัน ธนาคารกลางสหรัฐก็ได้ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายถึง 3 ครั้ง (รวม 0.75%) ในปี 2025 และธนาคารกลางสหรัฐก็จะกลับมาเริ่มซื้อพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้น (เดือนละ 40,000 ล้านดอลลาร์) อีกครั้ง แปลว่าสภาพคล่องของสหรัฐ (และของโลก) มีค่อนข้างสูง ซึ่งมีส่วนในการทำให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าอย่างต่อเนื่องในปี 2025

การอ่อนค่าดังกล่าวเป็นการช่วยเสริมสภาพคล่องในปี 2025 ให้กับประเทศตลาดเกิดใหม่ และได้ช่วยผลักดันให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยโดยเฉพาะอย่างยิ่ง หุ้นของบริษัทที่ทำธุรกิจด้านปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ)

ทำให้เศรษฐกิจ ตลาดเงินและตลาดทุนขยายตัวได้ดีเกินคาดในปี 2025 และเป็นจุดตั้งต้นที่ดีสำหรับปี 2026 และย่อมจะมีส่วนในการทำให้การวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองแนวโน้มของเศรษฐกิจในปี 2026 ในแง่บวก กล่าวคือหากผิดพลาดก็คงจะผิดพลาดในเชิงที่เศรษฐกิจจริงจะขยายตัวได้ต่ำกว่าคาดการณ์ครับ