จีเอ็มโอจากแปลงเพาะสู่พืชพาณิชย์ บทเรียนความปลอดภัยทางชีวภาพ

"..คำตัดสินศาลปกครองส่งผลดีต่อสังคม เพราะทำให้เห็นว่า เรายังไม่มีกฎหมายดูแลความปลอดภัยทางชีวภาพ.."
จากกรณีคำตัดสินของศาลปกครองให้ยกฟ้องคดีที่กรมวิชาการเกษตรถูกฟ้องว่า ปล่อยปละละเลยให้มีการแพร่กระจายของเมล็ดพันธุ์มะละกอจีเอ็มโอ ออกนอกแปลงปลูกมะละกอจีเอ็มโอแบบเปิดซึ่งอยู่ในพื้นที่ควบคุม ไปสู่แปลงเพาะปลูกของเกษตรกรภายนอก เมื่อปี 2549
ประกอบกับ ก่อนหน้านี้ พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะประธานจัดทำยุทธศาสตร์เกษตรเป็นรายพืชเศรษฐกิจ 4 สินค้า คือ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสำปะหลัง ปาล์มน้ำมัน และอ้อย เตรียมผลักดันให้มีการทดลองและปลูกพืชจีเอ็มโอในเชิงพาณิชย์ในประเทศไทย
โดยลงนามในคำสั่งแต่งตั้ง "คณะทำงานศึกษาแนวทางการนำสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมและผลิตภัณฑ์มาใช้ใน ประเทศไทย" เมื่อวันที่ 16 ก.ย.ที่ผ่านมา เพื่อให้มีการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องจีเอ็มโอ ซึ่งคณะทำงานชุดนี้ได้ประชุมนัดแรกไปแล้วเมื่อวันที่ 30 ก.ย.ที่ผ่านมา จึงทำให้ประเด็นเรื่องการตัดแต่งพันธุกรรม หรือ "จีเอ็มโอ" ถูกหยิบยกมากล่าวถึงในสังคมไทยอีกครั้ง โดยเฉพาะผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการบริโภค
นายธารา บัวคำศรี ผู้อำนวยการประจำประเทศไทย กรีนพีซเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บอกว่า แม้ว่าประเทศไทย มีมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อปี พ.ศ.2550 ห้ามการปลูกพืชตัดแต่งพันธุกรรมในระดับไร่นา หรือแบบแปลงเปิด และระบุไว้ว่า การปลูกต้องกระทำในพื้นที่ของหน่วยงานราชการ ต้องมีการนำเสนอข้อมูลมาตรการความปลอดภัย เผยแพร่ให้สาธารณชนรับทราบ และต้องให้ ครม.เป็นผู้อนุมัติ
ทั้งนี้ข้อน่ากังวลเกิดขึ้น เมื่อทราบว่า รัฐบาลและ คสช. มีความพยายามผลักดันในการอนุญาตให้มีการทดลองปลูกพืชจีเอ็มโอในบางชนิด โดยยกเหตุผลการส่งเสริมศักยภาพผลผลิตต่อไร่ให้เพิ่มขึ้นทันต่อความต้องการด้านปริมาณที่เพิ่มขึ้นทุกปี
ผู้อำนวยการกรีนพีซเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประจำประเทศไทย ยอมรับว่า ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีปัจจุบัน สามารถนำยีนส์หรือสารพันธุกรรมจากสิ่งมีชีวิตไปตัดแต่งในพันธุกรรมในพืช จนมันสามารถเจริญเติบโตได้ ภายใต้สภาวะอากาศที่แห้งแล้ง ฝนตกหนัก ต้านทานโรค แม้กระทั่งยังทำให้พืชที่ได้รับการตัดต่อพันธุกรรมนั้นมีความสามารถเป็นพิษต่อแมลงที่จะมากัดกินด้วย
แต่ก็ยังไม่มีนักวิทยาศาสตร์คนใดบนโลกนี้ที่จะยืนยันความปลอดภัยทางชีวภาพ เราไม่ได้ต่อต้านความก้าวหน้าทั้งหลาย แต่ต้องคิดให้รอบคอบ และชั่งน้ำหนักผลดีและผลเสียที่จะตามมา
"ภาคการเกษตรของไทย มีอารยธรรมและมีการพัฒนากันมายาวนานหลายพันปี เราควรใช้ภูมิความรู้ที่บรรพบุรุษสั่งสมไว้มากมาย นำมาแก้ปัญหาการเพาะปลูก แทนการพึ่งพาจากเจ้าของความรู้ที่ปิดบังไว้เป็นความลับทางการค้า ถือไว้เป็นสิทธิบัตรทางกฎหมาย"
นายวิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ ผู้อำนวยการ มูลนิธิชีววิถี หรือ ไบโอไทย เห็นว่า การยกฟ้องของศาลปกครองที่มีต่อคดีการละเลยของกรมวิชาการเกษตร ที่ปล่อยให้มีการแพร่หลายของเมล็ดพันธุ์มะละกอจีเอ็มโอนั้นเป็นประโยชน์ใน 2 เรื่อง
หนึ่ง คำตัดสินไม่ได้ลบล้างความบกพร่องของกรมวิชาการเกษตร เพราะในการไต่สวนคณะกรรมการตรวจสอบกรณีการหลุดรอดออกไปของมะละกอจีเอ็มโอ และคำสัมภาษณ์ของ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในสมัยนั้นยังระบุชัดเจนว่า คนในกรมวิชาการเกษตรมีส่วนร่วม
"ผมมองว่าการยกฟ้องนี้ ไม่ได้เป็นความพ่ายแพ้ของกลุ่มกรีนพีซ ในแง่ความละเลย ใช่ กรมวิชาการเกษตรไม่ได้ละเลย มีการแสดงออกว่าพยายามแก้ปัญหา แต่ความบกพร่องนั้นลบล้างไม่ได้เลย คณะกรรมการตรวจสอบที่คุณสมศักดิ์ เป็นผู้ตั้งขึ้นมา ยังออกมาระบุว่า คนในกรมฯมีส่วนให้เมล็ดมะละกอจีเอ็มโอไปอยู่ในมือเกษตรกร"
สอง คำตัดสินยกฟ้องยังส่งผลดีต่อสังคมไทย เพราะเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่า ประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายดูแลความปลอดภัยทางชีวภาพ แม้พบว่าความบกพร่องจะเกิดจากหน่วยงานราชการ และไม่มีความรับผิดชอบใดๆ ให้เห็นนอกเหนือไปจากการยุติการปลูกแล้วออกสุ่มตรวจการปนเปื้อนของสารตัดต่อพันธุกรรมเพื่อทำลายเท่านั้น
"คำตัดสินจะทำให้บรรดาบริษัทเจ้าของเมล็ดพันธุ์ข้ามชาติ หรือผู้ที่พยายามผลักดันการปลูกพืชจีเอ็มโอ จะต้องตอบคำถามกับสังคมให้ได้ว่า จะปลูกได้อย่างไร ในเมื่อยังไม่มีใครออกมารับผิดชอบเลย"
ในด้านการบังคับใช้กฎหมายนั้น นายวิฑูรย์ ระบุว่า ประเทศไทยกำลังร่างกฎหมายความปลอดภัยทางชีวภาพแห่งชาติที่มีเกษตรกรและประชาชนมีส่วนร่วมในการยกร่างกฎหมาย
โดยครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 22 ม.ค.2551 สมัยรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ได้มีมติอนุมัติร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยความปลอดภัยทางชีวภาพสมัยใหม่ พ.ศ... ที่เสนอโดยสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และได้ส่งให้สำนักงานกฤษฎีกาตีความ
ขณะเดียวกัน รัฐบาลชุดเดียวกันนี้ยังมีแรงผลักดันที่จะปลูกพืชจีเอ็มโอ โดยเมื่อวันที่ 25 ธ.ค.2550 ยังมีมติให้ขยายการทดลองปลูกพืชดัดแปลงพันธุกรรม ออกสู่แปลงทดลองแบบเปิด เฉพาะพื้นที่ส่วนราชการและมีความจำเป็น โดยต้องนำเสนอแผนในการดำเนินงาน โดยระบุสถานที่ ชนิดพืช และวิธีการแก่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้พิจารณาด้วย
สำหรับการวางยุทธศาสตร์พืชเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดนี้ ซึ่งมี พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธาน และได้ตั้งคณะทำงานศึกษาแนวทางการนำพืชดัดแปลงพันธุกรรมมาใช้ในประเทศไทยนั้น เขากังวลว่า ทิศทางการประชุมหารือมีความพยายามที่จะรวบรัดให้มีการพิจารณาแต่เฉพาะแนวทางการวิจัย เพื่อเตรียมให้มีการปลูกพืชจีเอ็มโอ ทั้งที่คณะทำงานชุดนี้ควรพิจารณาให้มีการศึกษาความเป็นไปได้ทางวิชาการ เศรษฐกิจ และสังคมที่เกี่ยวกับการนำพืช เมล็ดพันธุ์ หรือผลิตภัณฑ์ที่มาจากการดัดแปลงพันธุกรรมมาใช้ในประเทศไทย
.............................................
แนะเปิดเวทีสาธารณะให้ข้อมูล"จีเอ็มโอ"รอบด้าน
ในมุมมองของ รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เห็นว่า กระแสจีเอ็มโอเป็นภาพลบมาโดยตลอด ทั้งที่หลายองค์กรระดับโลก เช่น องค์การอนามัยโลก องค์กรด้านอาหาร วิทยาศาสตร์ ต่างมั่นใจว่าปลอดภัย
โดยเฉพาะในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในกลุ่มผู้บริโภคที่ออกมายอมรับมากขึ้นว่ามีความปลอดภัยเทียบเท่ากับอาหารทั่วไป ส่วนการปลูกพืชจีเอ็มโอในเชิงพาณิชย์ของไทยนั้นตอนนี้ถือว่าล้าหลังประเทศเพื่อนบ้าน
เขายกตัวอย่าง ฟิลิปปินส์ ปลูกข้าวโพด พม่า ปลูกฝ้าย ที่ตัดแต่งพันธุกรรมมานานแล้ว ทำให้สามารถลดการนำเข้าพืชเหล่านี้ได้ ขณะที่เวียดนาม และอินโดนีเซียกำลังปลูกข้าวโพดจีเอ็มโอเชิงพาณิชย์ในเร็วๆ นี้ ส่วนจีน ปลูกพืชจีเอ็มโอมากว่า 10 ปี จนวันนี้เป็นพันธุ์ที่พัฒนาขึ้นเองแล้ว
อาจารย์เจษฎา บอกด้วยว่า สำหรับไทยก็มีการทดลองทางวิชาการของมหาวิทยาลัยต่างๆ ในโรงเรือนและมีการออกแบบภาคสนามไว้แล้วเพียงแต่ว่าการจะดำเนินการใดๆ ต้องผ่านมติ ครม.เสียก่อนเพราะเป็นผลสืบเนื่องจากกรณีมะละกอจีเอ็มโอเมื่อหลายปีก่อน
ทั้งนี้ทั้งนั้นเขาเห็นด้วยว่า ควรมีกฎหมายออกมารองรับเรื่องนี้ ซึ่งเคยมีการร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยความปลอดภัยทางชีวภาพสมัยใหม่ แต่ทราบว่าเข้าออกคณะกรรมการกฤษฎีกามาแล้วหลายครั้ง ซึ่งจนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีความคืบหน้า และไม่แน่ใจว่าจะมีการพิจารณาได้ภายในรัฐบาลชุดนี้หรือไม่เพราะไม่ใช่กฎหมายเร่งด่วน
ส่วนกระแสสังคมที่เกิดขึ้นกับกรณีพืชจีเอ็มโอนั้น อาจารย์เจษฎา เสนอว่า ไม่ว่าจะคัดค้านหรือสนับสนุนก็ควรเข้าร่วมศึกษาตรวจสอบให้เห็นกับตาเพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงกัน หากไม่เห็นด้วยในประเด็นใดก็ควรบอกกล่าวพูดคุยกัน ไม่ใช่คัดค้านอะไรก็เหมารวมว่าไม่ดีไปเสียทั้งหมด พร้อมกันนั้นเขาเสนอให้เปิดเวทีสาธารณะเพื่อให้ข้อมูลความรู้เรื่องจีเอ็มโอแก่ประชาชนให้รอบด้านเพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องด้วย
"กรณีมะละกอนั้นสถานการณ์ตอนนี้พื้นที่ปลูกลดน้อยลง ราคาสูงขึ้นเพราะโรคไวรัสที่เกิดกับมะละกอนั้นต้องตัดทิ้ง ฉีดยาฆ่าไม่ได้ กลายเป็นปัญหาต่อกลุ่มเกษตรกรที่ปลูกมะละกอมาก ซึ่งการพัฒนาพันธุ์นี้เป็นทางเลือกให้พวกเขาได้ เช่นเดียวกับผู้บริโภคก็ควรมีทางเลือกเช่นกันแต่ควรแจ้งหรือติดฉลากให้ชัดเจนว่าเป็นจีเอ็มโอ"







