ลาปีแห่งความบอบช้ำ รับปีแห่งขวากหนาม

ลาปีแห่งความบอบช้ำ รับปีแห่งขวากหนาม

ปี 2568 นับเป็นปีที่สุดแห่งความบอบช้ำของประเทศไทย ทั้งทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม อุบัติภัย การดำรงชีวิต ตลอดจนจิตใจของประชาชน ที่ร้ายที่สุดเห็นจะเป็นการมีนายกรัฐมนตรีสองคน

คนหนึ่งระดับอนุบาลที่ทำคนไทยอ่อนใจได้ทุกขณะจิตกับนายกรัฐมนตรีอีกคนที่มาทำงานแค่สามเดือนกว่าแล้วยุบสภา 

บ้านเมืองจึงไร้ทิศทางได้แต่แก้ปัญหาเฉพาะหน้า ปัญหาสาหัสทั้งภาษีทรัปม์ บาทแข็ง การท่องเที่ยวตกต่ำ สแกมเมอร์ อุบัติภัยแผ่นดินไหว ตึกถล่ม มหาอุทกภัยในภาคเหนือและภาคใต้ และสงครามระหว่างไทยกับกัมพูชา เหตุการณ์ทั้งหลายเหล่านี้ฉุดรั้งให้ประเทศไทยถอยหลังไปอีกหลายก้าว

ปี 2569 ที่กำลังจะมาถึง หากพิจารณาถึงแรงเหวี่ยงจากปัญหาที่คาราคาซังจากปีก่อน และหลายๆ ปีก่อนหน้านั้นจะเป็นปีที่มีแต่ขวากหนาม ไม่เห็นวี่แววของการพลิกฟื้นแต่ประการใด ประชาชนทั้งหลายจึงมีหน้าที่จะต้องเตรียมตัวเตรียมใจรับกับสถานการณ์รอบด้านเพื่อจะประคองตัวให้มีชีวิตอยู่ต่อไป

ปี 2569 การเมืองจะยังคงเหมือนเดิม คือเต็มไปด้วยความวุ่นวายและแก่งแย่งชิงอำนาจกัน หลังการเลือกตั้งในเดือนกุมภาพันธ์ก็จะได้รัฐบาลที่ไม่มีความมั่นคงเช่นเดียวกับที่ผ่านมา การต่อรองตำแหน่งจะเป็นเรื่องน้ำเน่าที่กลับมาอีกเพราะไม่มีพรรคไหนได้เสียงเด็ดขาด การรวมตัวของนักการเมืองที่ไร้ความสามารถและมีชนักติดหลังทั้งสีดำสีเทาจะไม่ช่วยให้บ้านเมืองพัฒนาไปได้ 

อาจจะได้เห็นโครงการพิลึกพิลั่นที่เน้นประชานิยมหรือค้านสายตาประชาชนกลับมาอีก การไม่เห็นหัวประชาชนหลังจากชนะเลือกตั้งคือ วิสัยของนักการเมืองไทย ส่วนใหญ่ที่เข้ามาแล้วก็ทำอย่างเดียวคือการหากินกับโครงการต่างๆ วงจรอุบาทว์เกิดขึ้นวนเวียนครั้งแล้วครั้งเล่าไม่เปลี่ยนแปลง ตราบใดที่การเมืองเป็นเรื่องของบ้านใหญ่และการซื้อเสียงอย่างที่เห็น

สมัยก่อนประชาชนพึ่งนักการเมืองไม่ได้ ยังพอเห็นข้าราชการบางคนกล้าจะยืนหยัดต่อสู้กับนักการเมืองในเรื่องที่ไม่ถูกต้อง บัดนี้ เราไม่เห็นมีข้าราชการที่กล้าหาญพอจะเป็นที่พึ่งได้ มีแต่จะเป็นเครื่องมือนักการเมืองที่กินแล้วแบ่งกัน ข้าราชการและนักการเมืองจึงไม่ต่างกันในสายตาประชาชน แถมดูจะแย่กว่าเพราะอยู่นาน อยู่ทน เอาตัวรอดและกินอย่างเงียบๆ ร่วมกับนักการเมือง

ปี 2569 เศรษฐกิจจะตกต่ำและย่ำแย่ไปกว่าเดิม เครื่องจักรแทบทุกตัวหมดพลังที่จะทำงาน ประชาชนจะต้องรัดเข็มขัดกันจนตัวกิ่ว เพราะมีหนี้สินล้นพ้นตัว เครื่องจักรการลงทุนก็จะหดตัวตามการบริโภคภาคครัวเรือน รัฐบาลอาจจะปาวๆ ว่าอนุมัติโครงการส่งเสริมการลงทุนไปมากมาย แต่การลงทุนจริงน้อยยิ่งกว่าน้อย หรือต้องรอดูทีท่าว่ารัฐบาลใหม่จะเป็นอย่างไร 

ซึ่งกว่าจะมีรัฐบาลใหม่ก็คงเข้าไปเกือบจะกลางปี 2569 นักลงทุนเมื่อมองไม่เห็นความชัดเจนย่อมตัดสินใจโยกย้ายการลงทุนไปหาที่ใหม่ ปัญหาทักษะแรงงาน ค่าแรง ค่าพลังงาน และปัญหาขาดประสิทธิภาพของระบบราชการรวมทั้งปัญหาคอร์รัปชัน ยังจะบั่นทอนการลงทุนและรอการแก้ไขต่อไป

การใช้จ่ายภาครัฐในโครงการใหญ่ๆ จะเกิดน้อยมากในปี 2569 ส่วนใหญ่เป็นงบรายจ่ายประจำกว่า 70% การลงทุนจำกัดเพราะหนี้สาธารณะที่เกือบจะชนเพดานที่ 70% เต็มที ที่ต้องระวังคือ งบประมาณ 2570 อาจจะล่าช้าเหมือนที่เคยเกิดในปี 2566 จากความล่าช้าในการจัดตั้งรัฐบาล 

หากเลือกตั้งในเดือนกุมภาพันธ์ การจัดตั้งรัฐบาลไม่ควรจะช้าไปกว่าเดือนเมษายนหรือต้นพฤษภาคม 2569 เพื่อให้งบประมาณผ่านคณะรัฐมนตรีไปสู่สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ซึ่งคำนวณเวลาคร่าวๆ แล้วก็ฉิวเฉียดมากที่จะได้ใช้งบประมาณใหม่ในเดือนตุลาคม 2569 ไม่เช่นนั้นเครื่องยนต์การใช้จ่ายภาครัฐก็จะสะดุดได้

อย่าหวังกับเครื่องยนต์การส่งออก เพราะภาษีต่างตอบแทนของทรัมป์จะเป็นอุปสรรคต่อการส่งออกเป็นอย่างมาก จนบัดนี้การเจรจายังไม่ลงตัวโดยเฉพาะในส่วนของสินค้าสวมสิทธิ์ (transshipment) จำนวนมากจากประเทศจีนมาสวมสิทธิ์ประเทศไทย ภาษียังไม่เป็นที่ตกลง

และคงต้องก้มหน้ารับภาษีที่สูงมากจนเป็นอุปสรรคใหญ่ของการส่งออกไปอเมริกา การส่งออกจึงไม่น่าจะโตเท่าปี 2568 ที่ผู้นำเข้าอเมริการีบทำสต๊อกก่อนโดนภาษี และหากยังแก้ปัญหาเงินบาทแข็งไม่ได้อาจจะเห็นอัตราการขยายตัวการส่งออกติดลบ

ปัญหาด้านสังคมที่หมักหมมและได้แต่พูดๆ กัน อย่างปัญหาน้ำท่วม ภัยพิบัติ ยาเสพติด ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินก็จะยังไม่ได้รับการแก้ไข เรื่องตำรวจยังเป็นเรื่องขมขื่นกันต่อไป งบประมาณทหารก็จะต้องเพิ่มขึ้นอีกเพราะความไม่สงบตามแนวชายแดนยังจะมีให้เห็นเนืองๆ ในปีหน้า หลังจากที่ปี 2568 สงครามทำให้ต้องใช้งบประมาณไปมหาศาล

ปัญหาระยะยาวทั้งปัญหาผลิตภาพภาคเกษตร ผู้สูงวัย ปัญหาการ upskill/ reskill คนทำงานเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี ปัญหาการศึกษาที่แพ้ประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน ยังไม่รวมปัญหาคอร์รัปชันที่ทำได้ดีที่สุดแค่ประกาศเป็นวาระแห่งชาติ แต่ไม่มีมาตรการที่เป็นรูปธรรม และแถมท้ายสแกมเมอร์จะยังเป็นปัญหาใหญ่ของปีหน้า รวมทั้งปัญหาการบังคับใช้กฏหมายกับทุกเรื่อง

ไม่ต้องเป็นโหรสำนักไหนก็ทำนายได้ว่า ปีมะเมียที่จะมาถึงจะเป็นมะเมียป่วยด้วยโรครุมเร้า เป็นม้าที่กระเสาะกระแสะ อ่อนแรงจะวิ่งให้ทันเพื่อน อย่าว่าจะโจนทะยานอย่างวิสัยม้า เป็นปีแห่งขวากหนามสารพัดที่สั่งสมกันมา จนบางทีอดตั้งคำถามไม่ได้ว่า “เรามีรัฐบาลจริงๆ หรือ” หรือ “เรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร” 

ขอประชาชนคนไทยทั้งหลายรักษาตัวและตั้งรับให้ดี อดออมถนอมใช้ ทำงานหนัก เรียนรู้เยอะ อย่าหวังลาภลอย อย่างน้อยให้อยู่รอดปลอดภัย จนกว่าฟ้าใหม่จะมาเยือน ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะเป็นเมื่อไร 

สวัสดี