'บิลลี่'หายไปไหน?คำถาม...ที่ยังรอคำตอบ

"25วันแล้วที่บิลลี่ไม่ได้กลับบ้าน"ป้ายผ้าสีชมพูเขียนด้วยหมึกสีน้ำเงินติดอยู่ คำถาม...ที่ยังรอคำตอบ
" 25 วันแล้ว ที่บิลลี่ไม่ได้กลับบ้าน" ป้ายผ้าสีชมพูเขียนด้วยหมึกสีน้ำเงินติดอยู่ที่ฝาผนังโรงฝึกศิลปาชีพบ้านบางกลอย ต.ห้วยแม่เพรียง อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี กลายมุมเล็กๆ ที่เด็กวัยไร้เดียงสาใช้ซ่อนแอบแขกผู้มาเยือนด้วยความขวยเขิน
ตั้งแต่การหายตัวไปอย่างปริศนาของ “บิลลี่” พอละจี รักจงเจริญ แกนนำกระเหรี่ยงบ้านบางกลอย และสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลห้วยแม่เพรียง เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2557 มีผู้คนมากมายแวะเวียนเข้าสืบหาความจริงของการหายตัวไปของเขา ตลอดจนวิถีชีวิตความของพวกเขาในหมู่บ้านแห่งนี้
“บ้านบางกลอย- โป่งลึก” ถิ่นฐานใหม่ของครอบครัว “บิลลี่” อยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน 30 กิโลเมตร แต่ทว่าใช้เวลาเดินทางด้วยรถยนต์ขับเคลื่อน 4 ล้อ เกือบ 3 ชั่วโมง
เดิมครอบครัวของเขาอยู่ที่หมู่บ้านใจแผ่นดิน ห่างจากบ้านบางกลอย-โป่งลึก ใช้เวลาเดินเท้า 1 วันเต็มๆ แต่เมื่อปี 2539 พวกเขาถูกเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานขับไล่ให้มาอยู่มาอยู่ที่บ้านบางกลอยล่าง และบ้านโป่งลึก ทว่าหลายรายปรับตัวไม่ได้ และมีปัญหาเรื่องที่ดินทำกิน จึงที่หนีกลับไปยังรกรากเดิมของพวกเขา แต่เจ้าหน้าที่อุทยานฯ ได้ติดตามไล่กลับลงมาหลายครั้ง และครั้งล่าสุดเมื่อปี 2554 มีการเผาบ้าน เผายุ้งฉาง จนกลายเป็นคดีความ โดย “บิลลี่”เป็นพยานปากสำคัญที่หายตัวไปอย่างลึกลับ
“ปู่โคอี้” วัย 104 ปีชาวไทยเชื้อสายกระเหรี่ยง ซึ่งเป็นปู่ของ"บิลลี่" หนึ่งในผู้เสียหายจากการถูกเผาบ้านได้ยื่นฟ้องต่อกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธ์พืช และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในข้อหาละเมิด เนื่องจากถูกเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน บุกรุก เผาบ้านและยุ้งฉางข้าว พร้อมขับไล่ออกจากชุมชนเดิม
"วันนั้น อยู่กันไม่กี่คน พูดไทยไม่ได้ เขาไปจูงลงมาจากบ้าน แล้วมาขึ้นเครื่องเฮลิคอปเตอร์ แล้วก็เห็นบ้านถูกเผา มีข้าวของสำคัญมีคุณค่าทางจิตใจ เป็นสมบัติของปู่ย่าตายาย กำไลเงิน ที่ครอบมือ ตุ้มหู..."
“ปู่โคอี้” บอกผ่านล่ามอีกว่า เคยทำกินอยู่ที่หมู่บ้านใจแผ่นดินตั้งแต่สมัยปู่ ย่า หลังจากย้ายมาอยู่ที่นี่สภาพอากาศมันไม่เหมือนกัน ไม่เคยทำนา ทำแต่ไร่เลื่อนลอย ที่ไม่ต้องใช้ปุ๋ยยาฆ่าแมลง ใช้แต่ธรรมชาติ เคยลงมาตั้งแต่ปี 2539 และกลับขึ้นไปที่บ้านใจแผ่นดินอีกครั้ง แล้วก็มาถูกไล่เผาบ้านในปี 2554 ตอนนี้ อยากกลับไปอยู่ที่เดิม
เมื่อสอบถามถึงความหวังที่จะพบตัว “บิลลี่” หลานชายนั้น “ปู่โคอี้” บอกว่า หลายวันแล้วจะมีชีวิตอยู่อีกหรือเปล่า คุณรู้สึกว่าเขาอยู่ไหม เอากระดูกกลับมาก็ยังดี
ไม่ต่างจาก "พิณนภา พฤกษาพรรณ" หรือ “มุนอ” ภรรยาวัย 27 ปีของบิลลี่ ซึ่งอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านป่าเด็ง ต้องเป็นทั้งแม่และพ่อของลูก5 คน ยังมีความหวังแม้ริบหรี่ว่า "บิลลี่" อาจจะยังมีชีวิตอยู่
“คิดถึงเขามาก อยากให้เขากลับมา มาอยู่กับครอบครัว ไม่อยากให้เขาสาบสูญไปอย่างไรร่องรอย..." พิณนภา บอกด้วยน้ำตานองหน้า
"พิณนภา" บอกว่า ไม่อยากสันนิษฐานว่าใครทำ แต่ตอนที่ "บิลลี่" อยู่ที่บ้าน เขามักพูดเสมอว่า มีหน้าที่ช่วยและคอยประสานงานให้ทุกอย่าง เกี่ยวกับการถูกเผาบ้าน ทำให้เจ้าหน้าที่อุทยานฯ ไม่พอใจเขาอย่างมาก สักวันหนึ่งถ้าเขาถูกจับตัวเขาคงไม่รอดแน่ เขาจะพูดบ่อยๆ อยู่คำหนึ่งว่า ถ้าวันหนึ่งเขาไประหว่างหมู่บ้านป่าเด็ง-บางกลอย ระหว่างทางเขาหายตัวเมื่อไหร่ ไม่ต้องคิดมาก ไม่ต้องตามหาเขา คิดว่าเจ้าหน้าที่อุทยานเก็บเขาแล้ว!!
"หนูก็ไม่คิดว่าเขาจะไปไหนได้ (น้ำตาซึม) การที่เขาฝากคำพูดนี้ไว้ ความหวังที่เขามีชีวิตอยู่ก็น้อย บิลลี่อยากให้คนในหมู่บ้านเขา มีความสุข เท่าเทียมกันทุกคน รวมทั้งครอบครัวด้วย ถ้าเขาเป็นอะไรไป เพราะช่วยเหลือคนอื่น ถ้าเขาต้องตายเพราะเขาทำดีก็ยอม เขาไม่กลัว…" พิณนภา บอกเล่าความตั้งใจของสามี
กว่า 1 ดือนแล้ว หลัง "บิลลี่" ถูกเจ้าหน้าที่อุทยานฯ จับกุมและว่ากล่าวตักเตือนในกรณีมีน้ำผึ้งป่า 5 ขวดแล้วปล่อยไปก่อนหายตัวไปอย่างปริศนา.. แต่ชาวบ้านบางกลอยบอกว่าวันนั้น "บิลลี่" มาเอาน้ำผึ้งไปมากกว่า 5ขวด?!!
"สามีเคยเข้าไปหาของป่าถูกเจ้าหน้าที่อุทยานฯ จับไปโรงพัก พี่บิลลี่ เคยไปช่วยประกันตัวออกมา วันนั้น ได้เตือนพี่บิลลี่แล้วเรื่องน้ำผึ้ง แต่เขาบอกว่าโดนจับแล้วเขาก็ปล่อย แต่ปล่อยแล้วหาย นี่ลูกไม่สบายยังไม่กล้าลงไปหาหมอเลย กลัวหายไปเหมือนพี่บิลลี่" หญิงชาวบ้านรายหนึ่ง บอกและยอมรับว่าหลังจากแกนนำของพวกเขาหายไปความหวาดกลัวก็เข้าปกคลุมทั้งหมู่บ้าน
ปมปัญหาความขัดแย้งของเจ้าหน้าที่อุทยานฯ กับชาวกระเหรี่ยงบ้านบางกลอยเกิดขึ้นมายาวนานเกือบ 2 ทศวรรษ ล่าสุด "บิลลี่" แกนนำชาวกระเหรี่ยงบ้านบางกลอยก็มาหายตัว ยิ่งสร้างความหวาดหวั่นให้พวกเขาเป็นอย่างมาก และมีการยื่นหนังสือไปถึงกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ เพื่อขอคุ้มครองพยาน12 คน ในคดีการหายตัวไปของบิลลี่
เมื่อวันที่ 4 มิถุนายนที่ผ่านมา พ.ต.อ.วรเดช สวนคล้าย ผกก.สภ.แก่งกระจาน นำทีมตำรวจมาชี้แจงทำความเข้าใจกับชาวบ้าน กรณีคุ้มครองพยานและบอกถึงความคืบหน้าของคดีว่า ยังอยู่ในขั้นตอนของการสืบสวนสอบสวน ตอนนี้สอบพยานไปแล้ว 29 ปาก รวมถึง "ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร" หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน และพวกอีก 4 คน ซึ่งคดีนี้ทำในรูปของคณะกรรมการสืบสวนหลายหน่วยมาร่วมสืบสวนสอบสวนกันอยู่
จังหวะเดียวกันนี้ โครงการสื่อสารสุขภาวะชุมชนชายขอบ พาสื่อมวลชนลงพื้นที่ดูการทำงานของโครงการปิดทองหลังพระที่ลงมาช่วยเหลือชาวบ้าน พร้อมด้วย "ดร.เพิ่มศักดิ์ มกราภิรมย์" สถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา ม.มหิดล "นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ" กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ "เตือนใจ ดีเทศน์" อดีต สว.เชียงราย และ "สรัชชา สุริยกุล ณ อยุธยา" ผอ.สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3สาขา เพชรบุรี ได้เปิดเวทีพูดคุยเพื่อคลี่คลายปมต่างๆ ทั้งการหายตัวไปของบิลลี่ และการแก้ปัญหาที่ดินทำกินของชาวกระเหรี่ยงที่ถูกย้ายลงมาตั้งแต่ปี 2539 อีกด้วย
" มีอยู่ไม่กี่คนที่อยากกลับไปอยู่ที่เดิม อย่าง ปู่โคอี้ และญาติพี่น้องราวๆ 10 คน แต่มันคุ้มกันหรือไม่ ตามหลักวิชาการพื้นที่บ้านใจแผ่นดินเป็นผืนป่าต้นน้ำเพชรบุรี ส่วนปัญหาที่เกิดขึ้นตอนนี้คือที่ทำกินไม่พอ พอพวกเขาลงมาแล้วก็ไม่มีที่ทำกินก็มีปัญหา ต้องมีการจัดสรรที่ดินทำกินกันใหม่ โดยใช้ชุมชนมีส่วนร่วม "
"สรัชชา" ให้คำมั่นสัญญญาว่า จะช่วยแก้ปัญหาเรื่องที่ดินทำกิน โดยจะขยายพื้นที่ทำกินเพิ่มอีก 3 จุด คือ จุดแรกห้วยโป่งลึก 100 ไร่ จุดที่ฟาร์มตัวอย่าง ประมาณ 70 ไร่ และจุดที่ 3 บริเวณวังข่า 200 ไร่ เพื่อรองรับชาวบ้านที่ยังไม่มีที่ทำกินเป็นของตัวเอง โดยจะให้ชุมชมจัดสรรกันเองในรูปของกรรมการหมู่บ้าน คาดว่าจะแล้วเสร็จได้ในปีนี้
ส่วนกรณี "ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร" หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน อาจจะกลับมาเป็นหัวหน้าอุทยานฯ อีกครั้ง หลังครบกำหนด 1 เดือน ที่ขอย้ายตัวเองออกจากพื้นที่นั้น "สรัชชา" บอกว่า สิ่งที่เกิดความขัดแย้งทุกวันนี้ ข้าราชการอาจทำสิ่งใด ขาดตกหล่นบกพร่อง อย่างเรื่องจัดสรรที่ดินไม่ครอบคลุม จะต้องขจัดความขัดแย้งในระดับหนึ่งก่อน ต้องรีบจัดสรรที่ดินทำกินเพิ่มเติมให้ชาวบ้าน ส่วนหัวหน้าชัยวัฒน์จะกลับมาหรือไม่ คงเป็นเรื่องของผู้บังคับบัญชาระดับสูง
ล่าสุดเมื่อวันที่11 มิถุนายนที่ผ่านมา มีคำสั่งย้าย"ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร" หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน มาช่วยราชการที่ส่วนกลาง กรมอุทยานฯ จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง
"นิพนธ์ โชติบาล" รักษาการแทนอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ระบุว่า ก่อนหน้าที่ย้ายนายชัยวัฒน์ไปที่สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 (บ้านโป่ง)เพื่อความสบายใจของคนที่ร้องเรียน แต่ต้องให้ความเป็นธรรมกับนายชัยวัฒน์ด้วยเช่นกัน เพราะยังไม่มีความคืบหน้าของการสูญหายของนายพอละจี รักจงเจริญ และไม่มีหลักฐานเชื่อมโยงมายังนายชัยวัฒน์เลย และจนถึงขณะนี้ ยังไม่มีความคืบหน้าและไม่มีหลักฐานสาวมายังนายชัยวัฒน์เช่นเดิม แต่ก็ต้องสั่งย้ายให้ทุกคนสบายใจ!!







